สืบสานตำนานวัดเก่าแก่แห่งล้านนา
วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) วัดเก่าแก่แห่งล้านนาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 5 ศตวรรษ จัดงานทำบุญครบรอบ 533 ปีแห่งการสถาปนาวัดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 โดยจัดพิธีทางศาสนาและกิจกรรมทางวัฒนธรรมตั้งแต่ 18.30 น. เพื่อเป็นการสืบสานและอนุรักษ์ประเพณีการทำบุญประจำปีตลอดมา พร้อมเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมทำบุญและสักการะพระธาตุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด
ทางวัดนำโดย พระเดชพระคุณพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดกล่าวในงานว่า
“งานทำบุญครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชนจะได้มาร่วมบุญกุศลกับวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทั้งยังเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมล้านนาให้คงอยู่สืบไป” และที่สำคัญได้นิมนต์พระเถรานุเถระในอำเภอเมืองเชียงใหม่มาเจริญพุทธมนต์พุทธาภิเษก (สวดมนต์ตั๋น) ในเวลา 19.19 เป็นการสวดมนต์แบบโบราณ ซึ่งครูบาอาจารย์นิยมใช้สวดกันมาแต่กาลก่อน
ภายในงานมีศรัทธาประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาร่วมในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ถือเป็นการร่วมประวัติศาสตร์ที่ทำบุญอายุครบ 533 ปี
ภาพบรรยากาศในงาน












































































ประวัติความเป็นมาของวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)
พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์วงศ์มังราย ครองเมืองเชียงใหม่องค์ที่ ๙ จ.ศ. ๘๐๔ มีพระราชโอรสอันประสูติจากพระมเหสีเพียงพระองค์เดียว คือ ท้าวศรีบุญเรือง เมื่อ ท้าวศรีบุญเรืองพระชนม์ได้ ๒๐ พรรษา มีคนเพ็จทูลพระเจ้าติโลกราชว่า ท้าวศรีบุญเรืองเตรียมการจะคิดกบฏ ทำให้ทรงคลางแคลงพระทัย จึงทรงโปรดให้ไปครองเมืองเชียงแสนและเชียงราย ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านในขณะนั้น
ณ เมืองเชียงรายนี้เอง ได้เป็นที่ประสูติของพระเจ้ายอดเชียงราย และโดยเหตุที่ประสูติบนยอดเขาสูงในเชียงราย (ยอดดอกบัว ) ท้าวศรีบุญเรือง จึงประทานนามพระโอรสว่า “ยอดเชียงราย” ต่อมา พระเจ้าติโลกราชถูกเพ็ดทูลจากนางหอมุข พระสนมเอกว่าท้าวศรีบุญเรืองเตรียมการก่อกบฏอีก จึงมีพระกระแสรับสั่งให้ปลงพระชนม์พระราชโอรสเสีย และหลังจากนั้นทรงโปรดให้พระราชนัดดา คือ พระเจ้ายอดเชียงราย ครองเมืองเชียงรายสืบต่อมา
ครั้งนั้นมีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาจากต่างเมือง ได้ปักกลดอยู่ที่เชิงดอยคำตำบลสุเทพ ที่ตั้งวัดร่ำเปิงเวลานี้ ได้ทูลพระเจ้ายอดเชียงรายว่า ณ ต้นมะเดื่อไม่ห่างจากที่ท่านปักกลดอยู่เท่าใดนัก ได้มีรัศมีพวยพุงขึ้นในยามราตรี สงสัยว่า จะมีพระธาตุประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง พระเจ้ายอดเชียงรายจึงทรงช้างพระที่นั่ง
อธิษฐานเสี่ยงทายว่า ถ้ามีพระบรมธาตุฝังอยู่จริง และพระองค์จะได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไปแล้ว ก็ขอให้ช้างพระที่นั่งไปหยุด ณ ที่แห่งนั้น ทรงอธิษฐานแล้วก็ทรงช้างเสด็จไป ช้างนั้นก็ได้พาพระองค์มาหยุดอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ พระองค์จึงให้ขุดรอบๆ ต้นมะเดื่อนั้นก็ทรงพบพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วบรรจุอยู่ในผอบดินแบบเชียงแสน พระองค์จึงทรงทำพิธีสมโภช และอธิษฐานขอเห็นอภินิหารของพระบรมสารีริกธาตุนั้นจากนั้นจึงบรรจุลงในผอบทอง แล้วนำไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ในบริเวณนั้น
รายนามพระมหาเถระ พระมหาสามีญาณโพธเจ้า
- พระมหาเถระสุระสีมหาโพธิเจ้า
- พระมหาเถระธรรมเสนาปติเจ้า
- พระมหาเถระสัทธรรมฐิระประสาทเจ้า
- พระมหาเถระญาณสาครอารามิตรเจ้า
(ในศิลาจารึกว่ามีประมาณ ๑๐๐ รูป แต่ปรากฏชื่อเพียง ๕ รูป)
รายพระนามและนามผู้สร้างฝ่ายอาณาจักร
- พระนางอะตะปาเทวี ประธานกรรมการออกแบบดำเนินการสร้าง
- เจ้าเมืองญี่ เจ้าเมืองเชียงราย ผู้เป็นพระราชปิตุลา
- เจ้าอติวิสุทธ เจ้าหมื่นเมืองตินเชียง
- เจ้าหมื่นคำพร้ากลาง
- เจ้าหมื่นธรรมเสนาปติ เมืองจา
- เจ้าหมื่นหนังสือวิมลกิรติสิงหราชมนตรี
- เจ้าพันเชิงคดีรัตนปัญโญ
- เจ้าหมื่นโสม ราชัณฑ์คริก
ในประวัติไม่ได้บอกชัดว่าใช้เวลาสร้างนานเท่าใด กล่าวแต่ว่าสำเร็จแล้วทุกประการ พร้อมทั้งสร้างพระพุทธรูปเป็นประธาน และพระพุทธรูปตามซุ้มที่พระธาตุเจดีย์กับได้สร้างพระไตรปิฏกและพระราชทานทรัพย์ (นา) เงิน (เบี้ย) ดังปรากฏในศิลาจารึกว่า “มีราชเตทั้งหลายอันกฎหมายไว้กับอารามนี้นาสามล้านห้าหมื่นพัน ไว้กับเจดีย์สี่ด้าน สี่แสนเบี้ยไว้กับพระเจ้า (พระประธาน) ในวิหาร ห้าแสนเบี้ยไว้กับอุโบสถ สี่แสนเบี้ยไว้เป็นจังหัน (ค่าภัตตาหาร) ล้านห้าแสนห้าหมื่นพันเบี้ยไว้ให้ผู้รักษากิน สองแสนเบี้ยให้ชาวบ้านยี่สิบครัวเรือนไว้เป็นผู้ดูแลและอุปัฏฐากรักษาวัด”
สำหรับชื่อวัดร่ำเปิงนั้น ตามข้อความของอาจารย์มุกดา อัยยาเสน ที่กล่าวถึงคำปรากฏของพระเจ้ายอดเชียงราย ว่า “ ในขณะที่สร้างวัดพระองค์ทรงรำพึงถึงพระราชบิดา และพระราชมารดาอยากจะให้ทั้งสองพระองค์มีพระชนม์อยู่จะได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย และเพื่อให้เป็นที่บูชาคุณของทั้งสองพระองค์พระเจ้ายอดเชียงราย จึงทรงตกลงพระทัยให้ชื่อวัดที่สถาปนาขึ้นใหม่นี้ว้า “วัดร่ำเปิง” ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองเหนือ และตรงกับคำว่า”รำพึง ในภาษากลางอันมีความหมายว่า “คร่ำครวญ ระลึกถึง คะนึงหา”
วัดร่ำเปิงหรือวัดตโปทาราม ได้อยู่ในสภาพวัดร้างมาหลายยุคหลายสมัย เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง กองทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาครอบครองใช้เป็นที่ปฏิบัติการ ปรากฏว่าได้มีผู้ลักลอบขุดพระธาตุเจดีย์ได้นำเอาพระพุทธรูปและวัตถุโบราณต่าง ไป อุโบสถ และวิหารที่พระเจ้ายอดเชียงรายและพระมเหสีทรงสร้างขึ้นพร้อมกับวัด ได้ชำรุดทรุดโทรมแตกปรักหักพังจนสภาพต่าง ๆ แทบไม่หลงเหลืออยู่เลย
ส่วนวิหารซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระประธานนั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้ประโยชน์ได้ต่อไป มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป แผ่นศิลาจารึกได้จมดินอยู่ในวิหาร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ประชุม ตกลงกันให้อัญเชิญพระประธานไปประดิษฐานไว้ ณ ด้านหลังพระวิหารวัดพระสิงห์ในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ และได้ร่วมกับกรรมการวัดทั้งผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย ทำการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๔
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงแล้ว พวกชาวบ้านที่อพยพหลบภัยไปอยู่ที่อื่น ก็ทยอยกันกลับมา สภาพวัดก็ก็ยังขาดการบำรุงรักษาบางครั้งขาดพระจำพรรษา หรือถ้ามีก็เพียงรูปเดียว ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๔ เริ่มมีการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่แล้ว จึงได้อาราธนาพระภิกษุชาวบ้านร่ำเปิงรูปหนึ่งชื่อ หลวงปู่จันทร์สม หรือ ครูบาสม มาปกครองดูแลวัดได้ระยะหนึ่งทำให้วิหารแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ต่อมา ท่านถึงแก่มรณภาพ วัดก็ขาดพระจำพรรษาไปจนถึงปลายปี ๒๕๑๖
อุโบสถที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ได้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ โดยมีผู้มีจิตศรัทธาช่วยซ่อมให้ได้ใช้ในการปฏิบัติสังฆกรรมมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับพระพุทธรูปพระประธานนั้นเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่มีอายุประมาณ ๘๐๐ ปี เป็นศิลาขนาดหน้าตักกว้าง ๓๐นิ้ว สูง ๔๙ นิ้ว โดย จ.ส.ต ประยุทธ ไตรเพียร และคณะ ได้นำถวายไว้เป็นสมบัติของวัดร่ำเปิง เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๘ และมีชื่อว่า หลวงพ่อศรีอโยธยา
ในประวัติไม่ได้บอกชัดว่าใช้เวลาสร้างนานเท่าใด กล่าวแต่ว่าสำเร็จแล้วทุกประการ พร้อมทั้งสร้างพระพุทธรูปเป็นประธาน และพระพุทธรูปตามซุ้มที่พระธาตุเจดีย์กับได้สร้างพระไตรปิฏกและพระราชทานทรัพย์ (นา) เงิน (เบี้ย) ดังปรากฏในศิลาจารึกว่า “มีราชเตทั้งหลายอันกฎหมายไว้กับอารามนี้นาสามล้านห้าหมื่นพัน ไว้กับเจดีย์สี่ด้าน สี่แสนเบี้ยไว้กับพระเจ้า (พระประธาน) ในวิหาร ห้าแสนเบี้ยไว้กับอุโบสถ สี่แสนเบี้ยไว้เป็นจังหัน (ค่าภัตตาหาร) ล้านห้าแสนห้าหมื่นพันเบี้ยไว้ให้ผู้รักษากิน สองแสนเบี้ยให้ชาวบ้านยี่สิบครัวเรือนไว้เป็นผู้ดูแลและอุปัฏฐากรักษาวัด”
สำหรับชื่อวัดร่ำเปิงนั้น ตามข้อความของอาจารย์มุกดา อัยยาเสน ที่กล่าวถึงคำปรากฏของพระเจ้ายอดเชียงราย ว่า “ ในขณะที่สร้างวัดพระองค์ทรงรำพึงถึงพระราชบิดา และพระราชมารดาอยากจะให้ทั้งสองพระองค์มีพระชนม์อยู่จะได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย และเพื่อให้เป็นที่บูชาคุณของทั้งสองพระองค์พระเจ้ายอดเชียงราย จึงทรงตกลงพระทัยให้ชื่อวัดที่สถาปนาขึ้นใหม่นี้ว้า “วัดร่ำเปิง” ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองเหนือ และตรงกับคำว่า”รำพึง ในภาษากลางอันมีความหมายว่า “คร่ำครวญ ระลึกถึง คะนึงหา”
วัดร่ำเปิงหรือวัดตโปทาราม ได้อยู่ในสภาพวัดร้างมาหลายยุคหลายสมัย เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง กองทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาครอบครองใช้เป็นที่ปฏิบัติการ ปรากฏว่าได้มีผู้ลักลอบขุดพระธาตุเจดีย์ได้นำเอาพระพุทธรูปและวัตถุโบราณต่าง ไป อุโบสถ และวิหารที่พระเจ้ายอดเชียงรายและพระมเหสีทรงสร้างขึ้นพร้อมกับวัด ได้ชำรุดทรุดโทรมแตกปรักหักพังจนสภาพต่าง ๆ แทบไม่หลงเหลืออยู่เลย
ส่วนวิหารซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระประธานนั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้ประโยชน์ได้ต่อไป มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป แผ่นศิลาจารึกได้จมดินอยู่ในวิหาร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ประชุม ตกลงกันให้อัญเชิญพระประธานไปประดิษฐานไว้ ณ ด้านหลังพระวิหารวัดพระสิงห์ในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ และได้ร่วมกับกรรมการวัดทั้งผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย ทำการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๔
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงแล้ว พวกชาวบ้านที่อพยพหลบภัยไปอยู่ที่อื่น ก็ทยอยกันกลับมา สภาพวัดก็ก็ยังขาดการบำรุงรักษาบางครั้งขาดพระจำพรรษา หรือถ้ามีก็เพียงรูปเดียว ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๔ เริ่มมีการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่แล้ว จึงได้อาราธนาพระภิกษุชาวบ้านร่ำเปิงรูปหนึ่งชื่อ หลวงปู่จันทร์สม หรือ ครูบาสม มาปกครองดูแลวัดได้ระยะหนึ่งทำให้วิหารแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ต่อมา ท่านถึงแก่มรณภาพ วัดก็ขาดพระจำพรรษาไปจนถึงปลายปี ๒๕๑๖
อุโบสถที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ได้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ โดยมีผู้มีจิตศรัทธาช่วยซ่อมให้ได้ใช้ในการปฏิบัติสังฆกรรมมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับพระพุทธรูปพระประธานนั้นเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่มีอายุประมาณ ๘๐๐ ปี เป็นศิลาขนาดหน้าตักกว้าง ๓๐นิ้ว สูง ๔๙ นิ้ว โดย จ.ส.ต ประยุทธ ไตรเพียร และคณะ ได้นำถวายไว้เป็นสมบัติของวัดร่ำเปิง เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๘ และมีชื่อว่า หลวงพ่อศรีอโยธยา
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๖ พระครูพิพัฒน์คณาภิบาล (ทอง สิริมงคโล) เป็นเจ้าอาวาสวัดเมืองมางและเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระประจำสำนักวัดเมืองมาง ปัจจุบันได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ราชทินนามพระธรรมมังคลาจารย์(วิ) ได้ธุดงค์วัตรมาปักกลดอยู่บริเวณนี้ได้เล็งเห็นว่าสถานที่เป็นสัปปายะ เหมาะแก่การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้วางโครงการที่จะขยายงานวิปัสสนากรรมฐานขึ้นอีกแห่งหนึ่งจึงได้มาจำพรรษาอยู่ทีวัดร่ำเปิง(ตโปทาราม) แห่งนี้ แล้วชักชวนชาวบ้านในท้องถิ่น ตลอดถึงผู้ใจบุญทั้งหลาย ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ฟื้นฟูขึ้น และได้เปิดป้ายสำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดร่ำเปิง เมื่อ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ และได้อัญเชิญพระประธานพระพุทธอะตะปามหามุนีปฏิมากร จากวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร กลับสู่วัดร่ำเปิง เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๑๘ ตรงกับวันเสาร์ขึ้น ๑๑ ค่ำ ต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในปี พ.ศ.๒๕๓๑ และได้พัฒนาก่อสร้างถาวรวัตถุ ตลอดจนซ่อมแซมบูรณะถาวรวัตถุภายในวัดให้เจริญรุ่งเรือง
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงแล้ว พวกชาวบ้านที่อพยพหลบภัยไปอยู่ที่อื่น ก็ทยอยกันกลับมา สภาพวัดก็ก็ยังขาดการบำรุงรักษาบางครั้งขาดพระจำพรรษา หรือถ้ามีก็เพียงรูปเดียว ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๔ เริ่มมีการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่แล้ว จึงได้อาราธนาพระภิกษุชาวบ้านร่ำเปิงรูปหนึ่งชื่อ หลวงปู่จันทร์สม หรือ ครูบาสม มาปกครองดูแลวัดได้ระยะหนึ่งทำให้วิหารแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ต่อมา ท่านถึงแก่มรณภาพ วัดก็ขาดพระจำพรรษาไปจนถึงปลายปี ๒๕๑๖
อุโบสถที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ได้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ โดยมีผู้มีจิตศรัทธาช่วยซ่อมให้ได้ใช้ในการปฏิบัติสังฆกรรมมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับพระพุทธรูปพระประธานนั้นเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่มีอายุประมาณ ๘๐๐ ปี เป็นศิลาขนาดหน้าตักกว้าง ๓๐นิ้ว สูง ๔๙ นิ้ว โดย จ.ส.ต ประยุทธ ไตรเพียร และคณะ ได้นำถวายไว้เป็นสมบัติของวัดร่ำเปิง เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๘ และมีชื่อว่า หลวงพ่อศรีอโยธยา
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์จากพระครูชั้นพิเศษเป็นพระราชาคณะที่ราชทินนาม “พระสุพรหมยานเถร” และในปี พ.ศ.๒๕๓๔ ปีถัดมาท่านได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ณ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ดังนั้นท่านจึงได้แต่งตั้งให้พระสมุห์สุพันธ์ อาจิณฺณสีโล รักษาการเจ้าอาวาสดูแลสืบสานงานวิปัสสนากรรมฐานสืบต่อมา จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส โดยท่านเจ้าอาวาสรูปใหม่ ปัจจุบันได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระครูภาวนวิรัช ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์อดีตเจ้าอาวาสทุกประการพร้อมทั้งได้ก่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ๓ ชั้น เพื่อส่งเสริมในด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอภิธรรมอีกทางหนึ่งด้วย และยังได้สร้าง อาคาร “๘๐ ปี พระราชพรหมาจารย์” เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสูง ๔ ชั้น เป็นที่รองรับการเข้ามาปฏิบัติธรรมเป็นหมู่คณะของ นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป สร้างศาลาปฏิบัติธรรม กุฏิกรรมฐานทั้งฝ่ายพระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา กว่า ๒๐๐ หลัง สร้างอาคารที่พักผู้ปฏิบัติธรรมทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาสอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับผู้ที่มีกุศลศรัทธาเข้ามาปฏิบัติธรรมในสำนักแห่งนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี
วัดร่ำเปิงในปัจจุบัน
สอนวิปัสสนากรรมฐานทางภาคเหนือ อบรมพระกรรมฐานในแนวสติปัฎฐาน ๔ ปัจจุบันมีชาวไทยและชาวต่างประเทศ เข้ารับการอบรมปฏิบัติต่อเนื่องกันตลอดปีไม่ขาดสายเป็นวัดแห่งแรกที่มีพระไตรปิฏกฉบับล้านนา และได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีพระไตรปิฏกฉบับภาษาต่าง ๆ มากที่สุดในโลก ถึง 19 ภาษา และในปัจจุบันได้รับคัดเลือกให้เป็น
- ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติฯ ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2542
- อุทยานการศึกษาในวัด พ.ศ. 2544
- สำนักปฏิบัติธรรม ประจำจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 2 ปี พ.ศ. 2547
- สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดดีเด่นเฉลิมพระเกียรติ 83 พรรษา ปี พ.ศ.2553
- วัดพัฒนาตัวอย่าง พ.ศ. 2553
นอกจากงานวิปัสสนากรรมฐานแล้ว วัดร่ำเปิง(ตโปทาราม) ยังเป็นสำนักพระอภิธรรมสาขาของอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย อภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย วัดระฆังโฆษิตาราม และยังเป็นวัดที่รวบรวมและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาล้านนา