Visakha Puuja Day is on the 11 May 2025

Visakha Puuja Day is on the 11 May 2025

11 พฤษภาคม 2568 วันสันติภาพโลก บำเพ็ญ ทาน ศ๊ล ภาวนา เพื่อสันติภาพสุขของทุกคน

อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก
เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เราเป็นผู้ใหญ่สุดแห่งโลก
เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก
อยมนฺติมา ชาติ การเกิดครั้งนี้เป็นชาติสุดท้าย
นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว แต่บัดนี้ไปภพชาติใหม่เป็นไม่มี

เชิญร่วมกิจกรรมวันประสูติ พระพุทธเจ้าน้อย (วันเกิดเจ้าชาย)
ขอเชิญคุณพ่อ-แม่ พาลูกชาย/หญิง เข้าร่วมกิจกรรม “วันวิสาขบูชา”รับของขวัญ และ สรงน้ำพระพุทธเจ้าน้อย

วันวิสาขบูชา: วันแห่งแสงสว่างและสันติภาพโลก ณ วัดร่ำปิง (ตโปทาราม)

วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธทั่วโลกให้ความเคารพและยึดถือเป็นวันสำคัญ เนื่องจากเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 ประการในพระพุทธศาสนา คือ วันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งเหตุการณ์ทั้ง 3 นี้เกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เช่นเดียวกัน

ในปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) นี้ วันวิสาขบูชาตรงกับวันที่ 11 พฤษภาคม ซึ่งนอกจากจะเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแล้ว ยังถือเป็นวันแห่งสันติภาพโลกอีกด้วย

กิจกรรมพิเศษ “วันประสูติพระพุทธเจ้าน้อย” ณ วัดร่ำปิง (ตโปทาราม)

ทางวัดร่ำปิง (ตโปทาราม) โดยพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ เจ้าอาวาสวัดร่ำปิง (ตโปทาราม) จ้าคณะอำเภอเมืองชียงใหม่ ได้จัดกิจกรรมพิเศษเนื่องในวันวิสาขบูชา ในชื่อ “วันประสูติพระพุทธเจ้าน้อย” หรือ “วันเกิดเจ้าชาย” เพื่อระลึกถึงการประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขอเชิญคุณพ่อ-คุณแม่ พาลูกชาย/ลูกสาว เข้าร่วมกิจกรรมอันทรงคุณค่านี้ เพื่อปลูกฝังค่านิยมที่ดีงามและสร้างความผูกพันในครอบครัว ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับของขวัญพิเศษและมีโอกาสร่วมพิธีสรงน้ำพระพุทธเจ้าน้อย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

แสงสว่างแห่งปัญญาและการเรียนรู้สำหรับเยาวชน

การจัดกิจกรรม “วันประสูติพระพุทธเจ้าน้อย” นับเป็นโอกาสอันดีที่จะสอนให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับคุณธรรมและหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าผ่านกิจกรรมที่สนุกสนานและเหมาะสมกับวัย การที่เด็กๆ ได้ร่วมพิธีสรงน้ำพระพุทธเจ้าน้อย จะช่วยปลูกฝังความเคารพและศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาตั้งแต่วัยเยาว์

ในช่วงวัยเด็ก เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีคุณลักษณะที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งความเมตตากรุณา ความใฝ่รู้ และความเฉลียวฉลาด การเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระชนม์ชีพในวัยเยาว์ของพระองค์ จะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจว่าการมีคุณธรรมและความเมตตาเป็นสิ่งสำคัญที่ควรปลูกฝังตั้งแต่เล็ก

การบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา เพื่อสันติภาพในครอบครัวและสังคม

กิจกรรมในวันวิสาขบูชาที่วัดร่ำปิง (ตโปทาราม) นี้ เป็นโอกาสดีที่ครอบครัวจะได้ร่วมกันบำเพ็ญกุศลผ่านการปฏิบัติ 3 ประการ:

1. ทาน – ปลูกฝังการให้และแบ่งปัน

ในโอกาสนี้ ครอบครัวสามารถร่วมกันทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน หรือบริจาคทรัพย์เพื่อสาธารณประโยชน์ต่างๆ ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการให้และแบ่งปัน การทำทานร่วมกันในครอบครัวยังช่วยสร้างความสามัคคีและสอนให้เด็กๆ รู้จักความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

2. ศีล – สอนเรื่องความประพฤติที่ดีงาม

การพาเด็กๆ มาวัดในวันสำคัญเช่นนี้ เป็นโอกาสที่ดีในการสอนเรื่องศีลธรรมและความประพฤติที่เหมาะสม ผู้ปกครองสามารถอธิบายเรื่องศีล 5 ให้เด็กๆ เข้าใจได้อย่างง่ายๆ เช่น การไม่เบียดเบียนผู้อื่น การไม่ลักขโมย การพูดความจริง เป็นต้น

3. ภาวนา – ฝึกสมาธิและความสงบสำหรับเด็ก

กิจกรรมสรงน้ำพระพุทธเจ้าน้อยเป็นรูปแบบหนึ่งของการภาวนาที่เหมาะสำหรับเด็ก ขณะที่เด็กๆ รดน้ำองค์พระ พ่อแม่สามารถแนะนำให้พวกเขาตั้งจิตอธิษฐานสิ่งดีๆ หรือฝึกสมาธิอย่างง่ายๆ ได้ นอกจากนี้ การเวียนเทียนในช่วงค่ำยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยฝึกสมาธิและความสงบใจได้เป็นอย่างดี

กิจกรรมครอบครัวสร้างสันติสุข

การพาลูกหลานมาร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชาที่วัดร่ำปิง (ตโปทาราม) นี้ นอกจากจะเป็นการสืบสานประเพณีอันดีงาม ยังเป็นการสร้างความผูกพันในครอบครัวและปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้แก่เยาวชน ความสุขและความสงบที่เกิดขึ้นในครอบครัวจะเป็นรากฐานสำคัญของสันติภาพในสังคมและโลก

ในวันวิสาขบูชาปีนี้ ขอเชิญทุกครอบครัวมาร่วมสร้างความทรงจำดีๆ และรับพลังบุญร่วมกัน ณ วัดร่ำปิง (ตโปทาราม) เพื่อน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้าและเรียนรู้หลักธรรมคำสอนที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความสุข ความสงบ และสันติภาพที่แท้จริง

ขอเชิญทุกท่านพาบุตรหลานมาร่วมกิจกรรม “วันประสูติพระพุทธเจ้าน้อย” ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ณ วัดร่ำปิง (ตโปทาราม) เพื่อรับของขวัญพิเศษและร่วมพิธีสรงน้ำพระพุทธเจ้าน้อย เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวและสร้างรากฐานชีวิตที่ดีให้แก่ลูกหลานสืบไป

พิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ-สามเณร แและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน ๒๕๖๘

พิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ-สามเณร แและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน ๒๕๖๘
ภายใต้โครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมค่านิยมและความเป็นไทย
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘

เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ระหว่าง ๒-๑๘ เมษายน ๒๕๖๘

โดยมี พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าคณะอําเภอเมืองเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ประธานฝ่ายสงฆ์
นางกรวรรณ สุ่มมาตย์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ประธานฝ่ายฆราวาส

ดำเนินงานโดย คณะสงฆ์อำเภอเมืองเชียงใหม่ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่

สนับสนุนงบประมาณโดย กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม คุณมาลิณี วราหกิจ,ครอบครัวแก้วกฤติยานุกูรและคณะศรัทธาสาธุชน ร่วมเป็นเจ้าภาพอุปถัมภ์

กิจกรรมบรรพชาอุปสมบทประจำปี ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) จังหวัดเชียงใหม่

“การบวชไม่เพียงเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา แต่ยังเป็นแหล่งบ่มเพาะคุณธรรมและจริยธรรมที่งดงามสู่สังคมไทย”

[ภาพ: พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง นำพิธีบรรพชาอุปสมบท พร้อมด้วยคณะสงฆ์และผู้มีเกียรติ]

๒-๑๘ เมษายน ๒๕๖๘

พิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ-สามเณร แและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน

พิธีซ้อมขานนาค: การเตรียมความพร้อมสำหรับกุลบุตรผู้จะบวช

[ภาพ: กุลบุตรที่จะบวชเป็นพระภิกษุและสามเณรกำลังฝึกซ้อมคำกล่าวและพิธีการกับพระอาจารย์]

ก่อนถึงวันอุปสมบทและบรรพชาจริง ผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุทั้ง 13 รูป และสามเณร 56 รูป ได้ผ่านพิธีซ้อมขานนาค ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมความพร้อม พิธีนี้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุได้ฝึกซ้อมการตอบคำถามอันตรายิกธรรม (ธรรมที่เป็นอันตรายต่อการบวช) รวมถึงการท่องคำขอบรรพชาอุปสมบท ส่วนผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรได้ฝึกซ้อมการกล่าวคำขอสรณะและศีล รวมถึงขั้นตอนต่างๆ ในพิธี

…………. หนึ่งในพระอาจารย์ผู้ฝึกซ้อมได้อธิบายว่า “การซ้อมขานนาคมีความสำคัญสำหรับทั้งผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุและสามเณร เพราะแม้ว่าพิธีการจะแตกต่างกัน แต่ทั้งสองกลุ่มต้องเรียนรู้และเข้าใจพิธีกรรมอย่างถูกต้อง เพื่อให้การบวชเป็นไปอย่างสมบูรณ์และมีความศักดิ์สิทธิ์”

[ภาพ: เด็กและเยาวชนที่จะบวชเป็นสามเณรฝึกท่องคำขอศีลและการกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์]

ในการซ้อมสำหรับผู้ที่จะบวชเป็นสามเณร มีการสอนการท่องคำขอบรรพชาเป็นสามเณร การขอสรณคมน์ คือการถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และการรับศีล 10 ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติของสามเณร รวมถึงวิธีการห่มผ้าและการปฏิบัติตนเมื่อได้บวชแล้ว

“ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้บวชเป็นสามเณร ตอนแรกคิดว่าการท่องคำบาลีจะยากมาก แต่พระอาจารย์ใจดีมาก สอนให้ท่องทีละวรรคจนผมจำได้” สามเณรไพศาล ณ เชียงใหม่ ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรกล่าว

สำหรับผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุ การซ้อมมีความละเอียดมากกว่า เพราะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้บวช เช่น โรคต้องห้าม 5 ประการ การเป็นมนุษย์เพศชาย การไม่เป็นหนี้ การได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง และการมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ รวมถึงการฝึกท่องคำขอบรรพชาอุปสมบทในภาษาบาลี

[ภาพ: กุลบุตรที่จะบวชพนมมือฟังคำอธิบายจากพระอาจารย์เกี่ยวกับความหมายของคำบาลีที่ใช้ในพิธี]

“การซ้อมขานนาคไม่เพียงเป็นการเตรียมความพร้อมทางพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนสถานะจากฆราวาสเป็นบรรพชิต ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตที่ทุกคนควรทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้” โอวาทธรรม พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ.

พิธีปลงผม: จุดเริ่มต้นแห่งการละทิ้งความเป็นฆราวาส

[ภาพ: พิธีปลงผมกุลบุตรที่จะบวช โดยมีญาติผู้ใหญ่ร่วมปลงผมคนแรก]

พิธีปลงผมเป็นพิธีสำคัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการบวช โดยในปีนี้ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ได้จัดพิธีปลงผมอย่างเป็นทางการให้แก่กุลบุตรทั้ง 69 รูปที่จะบวชเป็นพระภิกษุและสามเณร โดยมีพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เป็นประธานในพิธี

พิธีปลงผมเริ่มต้นด้วยการที่ผู้บวชนั่งบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ โดยมีญาติผู้ใหญ่และผู้มีเกียรติร่วมกันปลงผมให้คนละเล็กละน้อย จากนั้นพระสงฆ์จะทำการโกนผมให้เกลี้ยงเกลา ซึ่งมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ถึงการตัดขาดจากความเป็นฆราวาส และการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่มกาสาวพัสตร์

[ภาพ: กุลบุตรที่จะบวชกำลังได้รับการโกนผมจากพระสงฆ์ในบรรยากาศที่สงบและศักดิ์สิทธิ์]

“พิธีปลงผมเป็นพิธีที่มีความหมายลึกซึ้ง เป็นการสละความเป็นปุถุชนเพื่อก้าวเข้าสู่เพศบรรพชิต การที่ครอบครัวร่วมปลงผมให้กันยังแสดงถึงการอนุญาตและการส่งเสริมให้ลูกหลานได้บวชเรียน”

[ภาพ: ครอบครัวและญาติของผู้บวชร่วมแสดงความยินดีหลังพิธีปลงผม]

“วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกภูมิใจที่สุด การได้เห็นลูกชายตัดผมเพื่อเตรียมตัวบวช แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเขาที่จะทำความดีและตอบแทนบุญคุณพ่อแม่” ผู้เป็นบิดาของเด็กชายที่จะบวชเป็นสามเณรกล่าวด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ

สำหรับผู้ที่จะบวชเป็นศีลจาริณี 9 คน มีการเปลี่ยนชุดเป็นชุดขาวเพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์และความตั้งใจในการรักษาศีล

เตรียมแห่นาคเข้าพิธี ณ อุโบสถ์ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)

[ภาพ: กุลบุตรผู้เข้าร่วมพิธีบรรพชาอุปสมบทในชุดขาว เตรียมตัวก่อนพิธี]

ในปีนี้ มีกุลบุตรให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก ประกอบด้วยผู้บวชเป็นพระภิกษุ 13 รูป สามเณร 56 รูป และศีลจาริณี 9 คน ซึ่งทุกรูปและทุกคนล้วนมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้ศึกษาและปฏิบัติธรรม

พิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ-สามเณร แและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน 2568

คณะสงฆ์อำเภอเมืองเชียงใหม่ นำโดยพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) และเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ-สามเณร และบวชศีลจาริณีประจำปี ภายใต้โครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมความเป็นไทย โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม และคุณมาลินี วรหกิจ ครอบครัวแก้วกฤติยานุกูรและคณะศรัทธาสาธุชน ร่วมเป็นเจ้าภาพอุปถัมภ์

[ภาพ: กุลบุตรผู้เข้าร่วมพิธีบรรพชาอุปสมบทในชุดขาว เตรียมตัวก่อนพิธี]

ในปีนี้ มีกุลบุตรให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก ประกอบด้วยผู้บวชเป็นพระภิกษุ 13 รูป สามเณร 56 รูป และศีลจาริณี 9 คน ซึ่งทุกรูปและทุกคนล้วนมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้ศึกษาและปฏิบัติธรรม

พิธีบรรพชาอุปสมบท: วันแห่งความปลื้มปีติ

ในวันพิธีบรรพชาอุปสมบท อุโบสถวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) โดยมีพระสงฆ์เถระผู้ใหญ่จำนวน 9 รูป นำโดยพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เป็นพระอุปัชฌาย์ประกอบพิธีอุปสมบท

[ภาพ: นาคที่จะบวชเป็นพระภิกษุในชุดขาว กำลังเดินเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ ก่อนเข้าสู่พิธีอุปสมบท]

พิธีเริ่มต้นด้วยการเวียนเทียนรอบพระอุโบสถของนาคที่จะบวช ก่อนจะเข้าสู่พิธีอุปสมบทอย่างเป็นทางการ โดยมีการสวดญัตติจตุตถกรรมวาจา ซึ่งเป็นการประกาศให้ที่ประชุมสงฆ์ทราบถึงการขออุปสมบทของนาค และการถามอันตรายิกธรรมต่างๆ

[ภาพ: นาคกำลังรับผ้าไตรจีวรจากญาติๆ ในบรรยากาศบริเวณศาลาบาตร]

“พิธีอุปสมบทในพระพุทธศาสนาเป็นพิธีที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง การที่กุลบุตรได้มีโอกาสบวชเรียนจึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. กล่าว

[ภาพ: เด็กและเยาวชนที่จะบวชเป็นสามเณรในชุดขาว กำลังรับศีลจากพระอาจารย์]

สำหรับพิธีบรรพชาสามเณร มีเด็กและเยาวชนจำนวน 56 รูป เข้ารับการบรรพชา โดยพิธีมีความเรียบง่ายกว่าการอุปสมบทพระภิกษุ แต่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์และสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เริ่มจากการขอบรรพชา การรับไตรสรณคมน์ และการรับศีล 10 ข้อ

[ภาพ: ศีลจาริณีในชุดขาวกำลังรับศีลจากพระอาจารย์ ในบรรยากาศที่สงบและสำรวม]

นอกจากนี้ ยังมีการบวชศีลจาริณีจำนวน 9 คน ซึ่งเป็นเด็กสตรีที่ต้องการปฏิบัติธรรมและรักษาศีล 8 โดยจะครองผ้าขาวตลอดระยะเวลาของการบวช พิธีการรับศีลของศีลจาริณีจัดขึ้นในพระอุโบสถ โดยมีพระอาจารย์ภาวนาธรรมาภิรัช วิิ. เป็นผู้ประกอบพิธี

“การได้มาบวชเป็นศีลจาริณีในครั้งนี้ ทำให้หนูรู้สึกปีติยินดีอย่างยิ่ง เพราะเป็นโอกาสที่จะได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน มาฝึกปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนา เพื่อพัฒนาจิตใจให้สงบและเข้มแข็ง” หนึ่งในศีลจาริณีกล่าว

[ภาพ: ผู้บวชใหม่ทั้งพระภิกษุ สามเณร และศีลจาริณี ถ่ายภาพร่วมกันหน้าพระอุโบสถ และคณะสงฆ์]

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีบรรพชาอุปสมบท ผู้บวชใหม่ทั้งหมดได้รับการอบรมเบื้องต้นเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในเพศบรรพชิต การเจริญสมาธิภาวนา และกิจวัตรประจำวันที่ต้องปฏิบัติตลอดระยะเวลาของการบวช

พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. ได้กล่าวให้โอวาทแก่ผู้บวชใหม่ว่า “การบวชถือเป็นการเริ่มต้นเส้นทางแห่งการพัฒนาตนเอง ขอให้ทุกท่านตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างเต็มกำลัง เพื่อนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต แม้จะลาสิกขาออกไปแล้วก็ตาม”

กิจกรรมระหว่างการบวช: เส้นทางแห่งการพัฒนาจิตใจ

[ภาพ: บรรยากาศการทำวัตรสวดมนต์ยามเช้าของพระภิกษุและสามเณรภายในพระอุโบสถ]

ตลอดระยะเวลาของการบวช ผู้บวชทุกรูปและทุกคนมีกิจวัตรที่เข้มงวดและเป็นระเบียบ เริ่มตั้งแต่การทำวัตรสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็น การฟังธรรม และการปฏิบัติธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมอย่างเป็นระบบ

“การมาบวชทำให้ผมมีระเบียบการดำเนินชีวิตด้วยสติเพิ่มขึ้น “ก่อนมาบวชผมใช้ชีวิตอย่างไม่มีสติ จะเดิน จะลงบันไดก็ยังไม่มีสติ ตอนนี้ก็พยายามเดินให้มีสติมากขึ้น พอเข้ามาบวชที่นี่ เข้าใจสติในการกระทำ การรู้ตัว หยิบ จับ หรือการเดินก้าวด้วยสติมากกว่าเดิม สิ่งนั้นทำให้ผมรู้ประโยชน์ การมาบวชและปฏิบัติธรรมครับ การตื่นแต่เช้าเพื่อทำวัตรสวดมนต์ทำให้จิตใจของผมสงบ มีสมาธิมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิตประจำวัน” สามเณรอภิวัฒน์ บุญจันทร์ อายุ 15 ปี หนึ่งในผู้บวชเล่าความรู้สึก”

คลิปการสัมภาษณ์ สามเณรอภิวัฒน์ บุญจันทร์ อายุ 15 ปี

[ภาพ: พระภิกษุและสามเณรกำลังนั่งปฏิบัติธรรม ภายใต้การดูแลของพระอาจารย์]

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษคือการ “ส่ง-สอบอารมณ์กรรมฐาน” ในการปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นการให้ผู้บวชได้พูดคุยกับพระอาจารย์เกี่ยวกับประสบการณ์การปฏิบัติ ปัญหาและอุปสรรคที่พบ รวมถึงคำแนะนำในการพัฒนาการปฏิบัติให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

สัมภาษณ์สามเณร สามเณรณิพพิชญ์ เอี่ยมละออ ประสบการมาปฏิบัติิธรรมทำให้ชีวิตนั้นมีความชอบธรรม และการส่งสอบอารมณ์ช่วงปฏิบัติ กับศีลจาริิณี

“การได้ส่งอารมณ์กรรมฐานทำให้หนูเข้าใจวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องมากขึ้น จากเดิมที่คิดว่าการนั่งสมาธิคือการทำให้จิตว่างเปล่า แต่ความจริงคือการมีสติรู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตนเอง” ศีลจาริณี/เด็กหญิงพัชร์กาญจน์กุล ณ เชียงใหม่ (ปอขวัญ) อายุ 11 ปี กล่าว

กิจกรรมพิเศษ: ทำบุญตักบาตรเนื่องในวันสงกรานต์

[ภาพ: ประชาชนใส่บาตรพระภิกษุและสามเณรที่บวชใหม่ในบรรยากาศวันสงกรานต์]

นอกจากการจัดพิธีบรรพชาอุปสมบทแล้ว วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีการทำบุญตักบาตรพระภิกษุและสามเณรที่บวชใหม่ เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันปีใหม่ไทย (ปี๋ใหม่เมือง ทางภาคเหนือ) โดยมีประชาชนในพื้นที่และญาติของผู้บวชมาร่วมทำบุญอย่างคับคั่ง

“การได้มาทำบุญตักบาตรในช่วงสงกรานต์ และได้เห็นลูกชายบวชเป็นสามเณร ทำให้ดิฉันรู้สึกอิ่มบุญและภูมิใจมาก” คุณแม่ของสามเณรรายหนึ่งกล่าวด้วยความปลื้มปีติ

กิจกรรมขนทรายเข้าวัดตามประเพณีไทย

[ภาพ: พระภิกษุ สามเณร ศีลจาริณี และโยคีผู้ปฏิบัติธรรม ร่วมกันขนทรายเข้าวัดในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสามัคคี]

หนึ่งในประเพณีสำคัญของเทศกาลสงกรานต์ที่จัดขึ้นในปีนี้คือ การขนทรายเข้าวัด ซึ่งเป็นประเพณีโบราณที่สืบทอดกันมายาวนาน โดยมีความเชื่อว่าการนำทรายเข้าวัดเพื่อก่อเจดีย์ทรายจะได้อานิสงส์มาก เป็นการชดเชยเม็ดทรายที่ติดเท้าออกไปจากวัด และเป็นการบูชาพระรัตนตรัย

พระภิกษุ สามเณร ศีลจาริณี และโยคีผู้ปฏิบัติธรรมที่เข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท ได้พร้อมใจกันจัดกิจกรรมขนทรายเข้าวัด โดยมีการนำทรายมาก่อเป็นเจดีย์ทรายบริเวณลานวัด และตกแต่งด้วยดอกไม้ ธง และพุทธลักษณะต่างๆ อย่างสวยงาม

“การขนทรายเข้าวัดเป็นประเพณีที่มีความหมายลึกซึ้ง นอกจากจะเป็นการทำบุญแล้ว ยังเป็นการฝึกความสามัคคีและความอดทน โดยเฉพาะสำหรับเด็กและเยาวชนที่บวชเป็นสามเณร ได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของประเพณีไทย”

พิธีสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวพระสงฆ์ และฟังธรรม

[ภาพ: พิธีสรงน้ำพระพุทธรูปด้วยน้ำอบน้ำหอม และพระสงฆ์ให้พรแก่ผู้มาร่วมพิธี]

อีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ของงานคือ พิธีสรงน้ำพระพุทธรูปและรดน้ำดำหัวพระสงฆ์ โดยมีการจัดเตรียมน้ำอบน้ำหอมและน้ำสะอาดสำหรับสรงน้ำพระพุทธรูป และรดน้ำดำหัวพระเถระผู้ใหญ่เพื่อขอพรในโอกาสวันปีใหม่ไทย

พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. ได้นำพระสงฆ์ทั้งหมดประกอบพิธีและให้พรแก่ญาติโยมที่มาร่วมงาน โดยมีการกล่าวคำอวยพรในภาษาล้านนา และพรมน้ำมนต์ให้แก่ผู้มาร่วมพิธี

[ภาพ: ผู้บวชใหม่และประชาชนรดน้ำดำหัวขอพรจากพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ.]

“พิธีรดน้ำดำหัวเป็นประเพณีอันดีงามของชาวล้านนา ที่แสดงถึงความเคารพและกตัญญูต่อผู้อาวุโส ซึ่งในปีนี้เรามีพระภิกษุและสามเณรที่บวชใหม่ได้มีโอกาสร่วมพิธีนี้ด้วย นับเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของไทยอีกทางหนึ่ง”

หลังจากพิธีรดน้ำดำหัว ได้มีการจัดกิจกรรมฟังธรรมเทศนาพิเศษโดยพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เรื่อง “ความกตัญญูกตเวทีและการรักษาประเพณีที่ดีงาม” ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก

[ภาพ: บรรยากาศการฟังธรรมเทศนาในวันสงกรานต์ โดยมีพระภิกษุสามเณรที่บวชใหม่นั่งฟังอย่างตั้งใจ]

“การฟังธรรมในวันสงกรานต์เป็นกิจกรรมที่สร้างความสงบเย็นใจ โดย พระครูปลัดนพพันธ์ ฐิตธมฺโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาส องค์แสดงพระธรรมเทศนา

พิธีทอดผ้าป่าสามัคคี

[ภาพ: ทอดผ้าป่าสามัคคี นำโดยญาติของผู้บวชและประชาชนในพื้นที่]

ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ได้มีการจัดพิธีทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสมทบทุนบูรณะหอพระไตรปิฏก จัดเป็นพิธีเรียบ ๆ

พิธีทอดผ้าป่าได้รับความร่วมมือจากคณะศิษยานุศิษย์ และโยคีผู้ปฏิบัติ และประชาชนทั่วไป รวมถึงญาติของผู้บวชที่ร่วมกันบริจาคปัจจัยเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา

[ภาพ: พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในการรับผ้าป่าสามัคคี]

เปิดใจผู้บวช: ก่อนบวช ระหว่างบวช และหลังลาสิกขา

[ภาพ: บรรยากาศการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมโครงการก่อนพิธีบรรพชาอุปสมบท]

ในช่วงก่อนการบวช ทางวัดได้จัดกิจกรรมสัมภาษณ์ผู้ที่จะบวชเพื่อรับทราบแรงบันดาลใจและความคาดหวังต่อการบวช

“ผมตัดสินใจบวชเพราะต้องการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ และอยากใช้เวลาช่วงปิดเทอมทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคม”

สำหรับระหว่างบวช ผู้บวชหลายรูปและหลายท่านต่างสะท้อนความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง

[ภาพ: สามเณรกำลังเรียนรู้วิธีการห่มจีวรจากพระอาจารย์]

“การใช้ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ ทำให้ผมได้เรียนรู้การอยู่อย่างเรียบง่าย รู้จักความพอเพียง และมีวินัยในตนเองมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันหลังจากลาสิกขาแล้ว”

บทส่งท้าย: การบวชเรียน สืบสานพระพุทธศาสนา พัฒนาตนสู่สังคม

กิจกรรมแสดงความกตัญญูก่อนลาสิกขาของคณะพระภิกษุ สามเณร

ในช่วงปิดท้ายโครงการก่อนลาสิกขา ทางวัดได้จัดกิจกรรมพาคณะพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ศีลจาริณี และโยคี เดินทางไปสักการะพระเถระผู้ใหญ่ตามวัดสำคัญต่างๆ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีและรับพรก่อนกลับสู่เพศฆราวาสของพระภิกษุสามเณรและศีลจาริณี

คณะได้มีโอกาสอันเป็นมงคลในการเข้านมัสการพระผู้ใหญ่และสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามวัดสำคัญทั้ง 10 แห่ง ได้แก่:

  1. วัดเชตุวัน – พุทธสถานอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมล้านนา
  2. วัดพระสิงห์ – ที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์อันเป็นที่เคารพสักการะ
  3. วัดสวนดอก – วัดโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ล้านนา
  4. วัดเจ็ดยอด – วัดที่มีสถาปัตยกรรมล้านนาอันทรงคุณค่า
  5. วัดศรีโสดา – สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาในเชียงใหม่
  6. วัดพระธาตุดอยสุเทพ – พุทธสถานศักดิ์สิทธิ์บนดอยสุเทพ
  7. วัดน้ำบ่อหลวง – แหล่งเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนา
  8. วัดพระธาตุศรีจอมทอง – ที่ประดิษฐานพระบรมธาตุอันศักดิ์สิทธิ์
  9. วัดพระพุทธบาทตากผ้า – สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
  10. วัดพระธาตุหริภุญชัย – พุทธสถานสำคัญแห่งเมืองลำพูน

กิจกรรมครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับคณะพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ศีลจาริณี และโยคีทุกท่าน เป็นการได้แสดงความเคารพต่อพระพุทธศาสนา พระเถระผู้ใหญ่ และได้น้อมรับพรและคำสั่งสอนอันมีค่า เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตหลังจากลาสิกขากลับสู่เพศฆราวาส นับเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าและเป็นการปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา

๑๘ เมษายน ๒๕๖๘

พิธีลาสิกขา

[ภาพ: พิธีอำลาสิกขาและมอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านการบวชเรียน]

โครงการบรรพชาอุปสมบทประจำปีของวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ไม่เพียงเป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งบ่มเพาะคุณธรรมจริยธรรมให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ซึ่งเมื่อพวกเขาลาสิกขากลับไปใช้ชีวิตฆราวาส ก็จะนำหลักธรรมคำสอนและประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นการสร้างคนดีสู่สังคม

พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง กล่าวทิ้งท้ายว่า “การบวชเรียน ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือยาว ล้วนมีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะเป็นโอกาสให้ได้พัฒนาตนเองทั้งทางกาย วาจา และใจ เมื่อเรามีโอกาสได้ฝึกฝนตนเองแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะนำสิ่งดีๆ เหล่านี้ออกไปเผยแพร่และช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป”

[ภาพ: ผู้บวชทั้งหมดถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกในวันสุดท้ายของโครงการ]

ภาพพธีลาสกขา


โอวาท พระภาวนาธรรมาภรัช วิ.
วันปิดโครงการ 18 เมษายน

พิธีลาสิกขาในโครงการ “บรรพชาอุปสมบทและบวชศีลจาริณี”

เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม ปลูกฝังค่านิยมความเป็นไทย

เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

โดยคณะสงฆ์อำเภอเมืองเชียงใหม่ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ และวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

วันศุกร์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๘

ณ อุโบสถวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดเชียงใหม่

จุดประสงค์ของโครงการ“บรรพชาอุปสมบทและบวชศีลจาริณี”นี้เพื่อที่จะได้ให้เยาวชนชาย-หญิงได้มาฝึกฝนอบรมจิตใจ เพื่อให้เราได้ศึกษามรดกทางวัฒนธรรม อาศัยความเป็นไทย อาศัยหลักทางพระพุทธศาสนา อาศัยความดีงามทางด้านศีลธรรม จริยธรรม

ตามหลักของการปฏิบัติของการบรรพชาอุปสมบทและบวชศีลจาริณี ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) เราต้องมีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาตลอดโครงการ   เราได้มาฝึกตนเองให้มีสติกับการกราบ การเดิน การนั่ง และทำกิจกรรมน้อยใหญ่ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อให้เกิดความงดงามทางด้านชีวิตของเราให้ดียิ่งขึ้น

เยาวชนที่เข้าโครงการนี้  ก็ถือว่าได้ว่าเป็นศิษย์วัดร่ำเปิงแล้ว ดังนั้นเราก็ต้องเป็นคนมีสติ เป็นคนดีของพ่อ-แม่ เป็นนักเรียนที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นประชาชน-เยาวชนที่ดีของประเทศชาติ เป็นพสกนิกรที่ดีของพระเจ้าอยู่หัว เราทั้งหลายได้ทำประโยชน์เกื้อกูลต่อสังคม   และเป็นที่น่าชื่นชมยินดีกับพ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยาย ลุง-ป้า น้า-อา ครูบาอาจารย์ของเยาวชนชาย-หญิงที่ได้มาเข้าโครงการนี้

ยังมีพระภิกษุและสามเณร อีก ๕ รูปยังรักษาพรหมจรรย์อยู่

และหวังว่าถ้าเยาวชนชาย-หญิง ที่ได้ลาสิกขาตามโครงการนี้แล้ว จะได้มีโอกาสมาปฏิบัติเป็นโยคีโดยส่วนตัวในช่วงปิดเทอม หรือในช่วงเวลาที่ว่าง หรือเข้าร่วมโครงการอีกในปีหน้าและปีต่อ ๆ  ไป

ขออนุโมทนากับวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าภาพหลัก และเจ้าภาพร่วมทุกรูปทุกคน ซึ่งได้ให้ความอุปถัมภ์อุดหนุนปัจจัยโครงการ และมีปัจจัยคงเหลือจากโครงการทางวัดก็จะได้นำไปสมทบเป็นทุนการศึกษาของพระเณรที่อาศัยอยู่ในวัดต่อไป

ขออนุโมทนากับทุกรูปทุกคนที่เกื้อกูลโครงการนี้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ, พระบรมราชินีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงโดยเฉพาะเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และได้ทำบุญถวายบุญกุศลให้แก่บิดา-มารดาของเราได้บุญกุศลด้วย และทำความดีนี้ในฐานะที่เราศาสนิกชน และเราก็ทำดีให้ตัวเราเพื่อให้เราได้มีสติ สมาธิ มีปัญญา มีความกตัญญูกเวทิตาต่อครอบครัว ต่อพ่อ-แม่   ต่อสังคม ต่อพระพุทธศาสนา

หลวงพ่อก็ขอให้ลูกมีโอกาสสร้างคุณงามความดี สร้างบารมีสำหรับตนให้ได้เป็นเยาวชนที่ดีของประเทศชาติ และเป็นลูกที่ดีของพ่อ-แม่ ให้ได้เป็นนักเรียนที่ดีของครูบาอาจารย์ ขอให้เรามีความสุขความเจริญในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติเป็นที่สุด จงบังเกิดผลแก่พวกเราทั้งหลายทุกทั่วหน้ากันด้วยเถอะ

วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) จัดงานมหามงคลทำบุญครบรอบ 533 ปี

สืบสานตำนานวัดเก่าแก่แห่งล้านนา

วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) วัดเก่าแก่แห่งล้านนาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 5 ศตวรรษ จัดงานทำบุญครบรอบ 533 ปีแห่งการสถาปนาวัดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 โดยจัดพิธีทางศาสนาและกิจกรรมทางวัฒนธรรมตั้งแต่ 18.30 น. เพื่อเป็นการสืบสานและอนุรักษ์ประเพณีการทำบุญประจำปีตลอดมา พร้อมเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมทำบุญและสักการะพระธาตุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด

ทางวัดนำโดย พระเดชพระคุณพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดกล่าวในงานว่า

“งานทำบุญครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชนจะได้มาร่วมบุญกุศลกับวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทั้งยังเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมล้านนาให้คงอยู่สืบไป” และที่สำคัญได้นิมนต์พระเถรานุเถระในอำเภอเมืองเชียงใหม่มาเจริญพุทธมนต์พุทธาภิเษก (สวดมนต์ตั๋น) ในเวลา 19.19 เป็นการสวดมนต์แบบโบราณ ซึ่งครูบาอาจารย์นิยมใช้สวดกันมาแต่กาลก่อน

ภายในงานมีศรัทธาประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาร่วมในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ถือเป็นการร่วมประวัติศาสตร์ที่ทำบุญอายุครบ 533 ปี

ภาพบรรยากาศในงาน

ประวัติความเป็นมาของวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)

พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์วงศ์มังราย ครองเมืองเชียงใหม่องค์ที่ ๙ จ.ศ. ๘๐๔ มีพระราชโอรสอันประสูติจากพระมเหสีเพียงพระองค์เดียว คือ ท้าวศรีบุญเรือง เมื่อ ท้าวศรีบุญเรืองพระชนม์ได้ ๒๐ พรรษา มีคนเพ็จทูลพระเจ้าติโลกราชว่า ท้าวศรีบุญเรืองเตรียมการจะคิดกบฏ ทำให้ทรงคลางแคลงพระทัย จึงทรงโปรดให้ไปครองเมืองเชียงแสนและเชียงราย ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านในขณะนั้น

ณ เมืองเชียงรายนี้เอง ได้เป็นที่ประสูติของพระเจ้ายอดเชียงราย และโดยเหตุที่ประสูติบนยอดเขาสูงในเชียงราย (ยอดดอกบัว ) ท้าวศรีบุญเรือง จึงประทานนามพระโอรสว่า “ยอดเชียงราย” ต่อมา พระเจ้าติโลกราชถูกเพ็ดทูลจากนางหอมุข พระสนมเอกว่าท้าวศรีบุญเรืองเตรียมการก่อกบฏอีก จึงมีพระกระแสรับสั่งให้ปลงพระชนม์พระราชโอรสเสีย และหลังจากนั้นทรงโปรดให้พระราชนัดดา คือ พระเจ้ายอดเชียงราย ครองเมืองเชียงรายสืบต่อมา

ครั้งนั้นมีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาจากต่างเมือง ได้ปักกลดอยู่ที่เชิงดอยคำตำบลสุเทพ ที่ตั้งวัดร่ำเปิงเวลานี้ ได้ทูลพระเจ้ายอดเชียงรายว่า ณ ต้นมะเดื่อไม่ห่างจากที่ท่านปักกลดอยู่เท่าใดนัก ได้มีรัศมีพวยพุงขึ้นในยามราตรี สงสัยว่า จะมีพระธาตุประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง พระเจ้ายอดเชียงรายจึงทรงช้างพระที่นั่ง

อธิษฐานเสี่ยงทายว่า ถ้ามีพระบรมธาตุฝังอยู่จริง และพระองค์จะได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไปแล้ว ก็ขอให้ช้างพระที่นั่งไปหยุด ณ ที่แห่งนั้น ทรงอธิษฐานแล้วก็ทรงช้างเสด็จไป ช้างนั้นก็ได้พาพระองค์มาหยุดอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ พระองค์จึงให้ขุดรอบๆ ต้นมะเดื่อนั้นก็ทรงพบพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วบรรจุอยู่ในผอบดินแบบเชียงแสน พระองค์จึงทรงทำพิธีสมโภช และอธิษฐานขอเห็นอภินิหารของพระบรมสารีริกธาตุนั้นจากนั้นจึงบรรจุลงในผอบทอง แล้วนำไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ในบริเวณนั้น

รายนามพระมหาเถระ​ พระมหาสามีญาณโพธเจ้า

  1. พระมหาเถระสุระสีมหาโพธิเจ้า
  2. พระมหาเถระธรรมเสนาปติเจ้า
  3. พระมหาเถระสัทธรรมฐิระประสาทเจ้า
  4. พระมหาเถระญาณสาครอารามิตรเจ้า

(ในศิลาจารึกว่ามีประมาณ ๑๐๐ รูป แต่ปรากฏชื่อเพียง ๕ รูป)

รายพระนามและนามผู้สร้างฝ่ายอาณาจักร

  1. พระนางอะตะปาเทวี ประธานกรรมการออกแบบดำเนินการสร้าง
  2. เจ้าเมืองญี่ เจ้าเมืองเชียงราย ผู้เป็นพระราชปิตุลา
  3. เจ้าอติวิสุทธ เจ้าหมื่นเมืองตินเชียง
  4. เจ้าหมื่นคำพร้ากลาง
  5. เจ้าหมื่นธรรมเสนาปติ เมืองจา
  6. เจ้าหมื่นหนังสือวิมลกิรติสิงหราชมนตรี
  7. เจ้าพันเชิงคดีรัตนปัญโญ
  8. เจ้าหมื่นโสม ราชัณฑ์คริก

ในประวัติไม่ได้บอกชัดว่าใช้เวลาสร้างนานเท่าใด กล่าวแต่ว่าสำเร็จแล้วทุกประการ พร้อมทั้งสร้างพระพุทธรูปเป็นประธาน และพระพุทธรูปตามซุ้มที่พระธาตุเจดีย์กับได้สร้างพระไตรปิฏกและพระราชทานทรัพย์ (นา) เงิน (เบี้ย) ดังปรากฏในศิลาจารึกว่า “มีราชเตทั้งหลายอันกฎหมายไว้กับอารามนี้นาสามล้านห้าหมื่นพัน ไว้กับเจดีย์สี่ด้าน สี่แสนเบี้ยไว้กับพระเจ้า (พระประธาน) ในวิหาร ห้าแสนเบี้ยไว้กับอุโบสถ สี่แสนเบี้ยไว้เป็นจังหัน (ค่าภัตตาหาร) ล้านห้าแสนห้าหมื่นพันเบี้ยไว้ให้ผู้รักษากิน สองแสนเบี้ยให้ชาวบ้านยี่สิบครัวเรือนไว้เป็นผู้ดูแลและอุปัฏฐากรักษาวัด”

​สำหรับชื่อวัดร่ำเปิงนั้น ตามข้อความของอาจารย์มุกดา อัยยาเสน ที่กล่าวถึงคำปรากฏของพระเจ้ายอดเชียงราย ว่า “ ในขณะที่สร้างวัดพระองค์ทรงรำพึงถึงพระราชบิดา และพระราชมารดาอยากจะให้ทั้งสองพระองค์มีพระชนม์อยู่จะได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย และเพื่อให้เป็นที่บูชาคุณของทั้งสองพระองค์พระเจ้ายอดเชียงราย จึงทรงตกลงพระทัยให้ชื่อวัดที่สถาปนาขึ้นใหม่นี้ว้า “วัดร่ำเปิง” ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองเหนือ และตรงกับคำว่า”รำพึง ในภาษากลางอันมีความหมายว่า “คร่ำครวญ ระลึกถึง คะนึงหา”

วัดร่ำเปิงหรือวัดตโปทาราม ได้อยู่ในสภาพวัดร้างมาหลายยุคหลายสมัย เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง กองทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาครอบครองใช้เป็นที่ปฏิบัติการ ปรากฏว่าได้มีผู้ลักลอบขุดพระธาตุเจดีย์ได้นำเอาพระพุทธรูปและวัตถุโบราณต่าง ไป อุโบสถ และวิหารที่พระเจ้ายอดเชียงรายและพระมเหสีทรงสร้างขึ้นพร้อมกับวัด ได้ชำรุดทรุดโทรมแตกปรักหักพังจนสภาพต่าง ๆ แทบไม่หลงเหลืออยู่เลย

ส่วนวิหารซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระประธานนั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้ประโยชน์ได้ต่อไป มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป แผ่นศิลาจารึกได้จมดินอยู่ในวิหาร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ประชุม ตกลงกันให้อัญเชิญพระประธานไปประดิษฐานไว้ ณ ด้านหลังพระวิหารวัดพระสิงห์ในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ และได้ร่วมกับกรรมการวัดทั้งผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย ทำการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๔

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงแล้ว พวกชาวบ้านที่อพยพหลบภัยไปอยู่ที่อื่น ก็ทยอยกันกลับมา สภาพวัดก็ก็ยังขาดการบำรุงรักษาบางครั้งขาดพระจำพรรษา หรือถ้ามีก็เพียงรูปเดียว ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๔ เริ่มมีการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่แล้ว จึงได้อาราธนาพระภิกษุชาวบ้านร่ำเปิงรูปหนึ่งชื่อ หลวงปู่จันทร์สม หรือ ครูบาสม มาปกครองดูแลวัดได้ระยะหนึ่งทำให้วิหารแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ต่อมา ท่านถึงแก่มรณภาพ วัดก็ขาดพระจำพรรษาไปจนถึงปลายปี ๒๕๑๖

​อุโบสถที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ได้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ โดยมีผู้มีจิตศรัทธาช่วยซ่อมให้ได้ใช้ในการปฏิบัติสังฆกรรมมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับพระพุทธรูปพระประธานนั้นเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่มีอายุประมาณ ๘๐๐ ปี เป็นศิลาขนาดหน้าตักกว้าง ๓๐นิ้ว สูง ๔๙ นิ้ว โดย จ.ส.ต ประยุทธ ไตรเพียร และคณะ ได้นำถวายไว้เป็นสมบัติของวัดร่ำเปิง เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๘ และมีชื่อว่า หลวงพ่อศรีอโยธยา

ในประวัติไม่ได้บอกชัดว่าใช้เวลาสร้างนานเท่าใด กล่าวแต่ว่าสำเร็จแล้วทุกประการ พร้อมทั้งสร้างพระพุทธรูปเป็นประธาน และพระพุทธรูปตามซุ้มที่พระธาตุเจดีย์กับได้สร้างพระไตรปิฏกและพระราชทานทรัพย์ (นา) เงิน (เบี้ย) ดังปรากฏในศิลาจารึกว่า “มีราชเตทั้งหลายอันกฎหมายไว้กับอารามนี้นาสามล้านห้าหมื่นพัน ไว้กับเจดีย์สี่ด้าน สี่แสนเบี้ยไว้กับพระเจ้า (พระประธาน) ในวิหาร ห้าแสนเบี้ยไว้กับอุโบสถ สี่แสนเบี้ยไว้เป็นจังหัน (ค่าภัตตาหาร) ล้านห้าแสนห้าหมื่นพันเบี้ยไว้ให้ผู้รักษากิน สองแสนเบี้ยให้ชาวบ้านยี่สิบครัวเรือนไว้เป็นผู้ดูแลและอุปัฏฐากรักษาวัด”

​สำหรับชื่อวัดร่ำเปิงนั้น ตามข้อความของอาจารย์มุกดา อัยยาเสน ที่กล่าวถึงคำปรากฏของพระเจ้ายอดเชียงราย ว่า “ ในขณะที่สร้างวัดพระองค์ทรงรำพึงถึงพระราชบิดา และพระราชมารดาอยากจะให้ทั้งสองพระองค์มีพระชนม์อยู่จะได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย และเพื่อให้เป็นที่บูชาคุณของทั้งสองพระองค์พระเจ้ายอดเชียงราย จึงทรงตกลงพระทัยให้ชื่อวัดที่สถาปนาขึ้นใหม่นี้ว้า “วัดร่ำเปิง” ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองเหนือ และตรงกับคำว่า”รำพึง ในภาษากลางอันมีความหมายว่า “คร่ำครวญ ระลึกถึง คะนึงหา”

วัดร่ำเปิงหรือวัดตโปทาราม ได้อยู่ในสภาพวัดร้างมาหลายยุคหลายสมัย เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง กองทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาครอบครองใช้เป็นที่ปฏิบัติการ ปรากฏว่าได้มีผู้ลักลอบขุดพระธาตุเจดีย์ได้นำเอาพระพุทธรูปและวัตถุโบราณต่าง ไป อุโบสถ และวิหารที่พระเจ้ายอดเชียงรายและพระมเหสีทรงสร้างขึ้นพร้อมกับวัด ได้ชำรุดทรุดโทรมแตกปรักหักพังจนสภาพต่าง ๆ แทบไม่หลงเหลืออยู่เลย

ส่วนวิหารซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระประธานนั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้ประโยชน์ได้ต่อไป มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป แผ่นศิลาจารึกได้จมดินอยู่ในวิหาร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ประชุม ตกลงกันให้อัญเชิญพระประธานไปประดิษฐานไว้ ณ ด้านหลังพระวิหารวัดพระสิงห์ในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ และได้ร่วมกับกรรมการวัดทั้งผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย ทำการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๔

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงแล้ว พวกชาวบ้านที่อพยพหลบภัยไปอยู่ที่อื่น ก็ทยอยกันกลับมา สภาพวัดก็ก็ยังขาดการบำรุงรักษาบางครั้งขาดพระจำพรรษา หรือถ้ามีก็เพียงรูปเดียว ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๔ เริ่มมีการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่แล้ว จึงได้อาราธนาพระภิกษุชาวบ้านร่ำเปิงรูปหนึ่งชื่อ หลวงปู่จันทร์สม หรือ ครูบาสม มาปกครองดูแลวัดได้ระยะหนึ่งทำให้วิหารแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ต่อมา ท่านถึงแก่มรณภาพ วัดก็ขาดพระจำพรรษาไปจนถึงปลายปี ๒๕๑๖

​อุโบสถที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ได้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ โดยมีผู้มีจิตศรัทธาช่วยซ่อมให้ได้ใช้ในการปฏิบัติสังฆกรรมมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับพระพุทธรูปพระประธานนั้นเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่มีอายุประมาณ ๘๐๐ ปี เป็นศิลาขนาดหน้าตักกว้าง ๓๐นิ้ว สูง ๔๙ นิ้ว โดย จ.ส.ต ประยุทธ ไตรเพียร และคณะ ได้นำถวายไว้เป็นสมบัติของวัดร่ำเปิง เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๘ และมีชื่อว่า หลวงพ่อศรีอโยธยา

ปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๖ พระครูพิพัฒน์คณาภิบาล (ทอง สิริมงคโล) เป็นเจ้าอาวาสวัดเมืองมางและเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระประจำสำนักวัดเมืองมาง ปัจจุบันได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ราชทินนามพระธรรมมังคลาจารย์(วิ) ได้ธุดงค์วัตรมาปักกลดอยู่บริเวณนี้ได้เล็งเห็นว่าสถานที่เป็นสัปปายะ เหมาะแก่การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้วางโครงการที่จะขยายงานวิปัสสนากรรมฐานขึ้นอีกแห่งหนึ่งจึงได้มาจำพรรษาอยู่ทีวัดร่ำเปิง(ตโปทาราม) แห่งนี้ แล้วชักชวนชาวบ้านในท้องถิ่น ตลอดถึงผู้ใจบุญทั้งหลาย ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ฟื้นฟูขึ้น และได้เปิดป้ายสำนักวิปัสสนากรรมฐานวัดร่ำเปิง เมื่อ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ และได้อัญเชิญพระประธานพระพุทธอะตะปามหามุนีปฏิมากร จากวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร กลับสู่วัดร่ำเปิง เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๑๘ ตรงกับวันเสาร์ขึ้น ๑๑ ค่ำ ต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในปี พ.ศ.๒๕๓๑ และได้พัฒนาก่อสร้างถาวรวัตถุ ตลอดจนซ่อมแซมบูรณะถาวรวัตถุภายในวัดให้เจริญรุ่งเรือง

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงแล้ว พวกชาวบ้านที่อพยพหลบภัยไปอยู่ที่อื่น ก็ทยอยกันกลับมา สภาพวัดก็ก็ยังขาดการบำรุงรักษาบางครั้งขาดพระจำพรรษา หรือถ้ามีก็เพียงรูปเดียว ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๔ เริ่มมีการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่แล้ว จึงได้อาราธนาพระภิกษุชาวบ้านร่ำเปิงรูปหนึ่งชื่อ หลวงปู่จันทร์สม หรือ ครูบาสม มาปกครองดูแลวัดได้ระยะหนึ่งทำให้วิหารแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ต่อมา ท่านถึงแก่มรณภาพ วัดก็ขาดพระจำพรรษาไปจนถึงปลายปี ๒๕๑๖

​อุโบสถที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ได้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ โดยมีผู้มีจิตศรัทธาช่วยซ่อมให้ได้ใช้ในการปฏิบัติสังฆกรรมมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับพระพุทธรูปพระประธานนั้นเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่มีอายุประมาณ ๘๐๐ ปี เป็นศิลาขนาดหน้าตักกว้าง ๓๐นิ้ว สูง ๔๙ นิ้ว โดย จ.ส.ต ประยุทธ ไตรเพียร และคณะ ได้นำถวายไว้เป็นสมบัติของวัดร่ำเปิง เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๘ และมีชื่อว่า หลวงพ่อศรีอโยธยา

ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์จากพระครูชั้นพิเศษเป็นพระราชาคณะที่ราชทินนาม “พระสุพรหมยานเถร” และในปี พ.ศ.๒๕๓๔ ปีถัดมาท่านได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ณ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ดังนั้นท่านจึงได้แต่งตั้งให้พระสมุห์สุพันธ์ อาจิณฺณสีโล รักษาการเจ้าอาวาสดูแลสืบสานงานวิปัสสนากรรมฐานสืบต่อมา จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส โดยท่านเจ้าอาวาสรูปใหม่ ปัจจุบันได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระครูภาวนวิรัช ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์อดีตเจ้าอาวาสทุกประการพร้อมทั้งได้ก่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ๓ ชั้น เพื่อส่งเสริมในด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอภิธรรมอีกทางหนึ่งด้วย และยังได้สร้าง อาคาร “๘๐ ปี พระราชพรหมาจารย์” เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสูง ๔ ชั้น เป็นที่รองรับการเข้ามาปฏิบัติธรรมเป็นหมู่คณะของ นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป สร้างศาลาปฏิบัติธรรม กุฏิกรรมฐานทั้งฝ่ายพระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา กว่า ๒๐๐ หลัง สร้างอาคารที่พักผู้ปฏิบัติธรรมทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาสอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับผู้ที่มีกุศลศรัทธาเข้ามาปฏิบัติธรรมในสำนักแห่งนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี

วัดร่ำเปิงในปัจจุบัน

สอนวิปัสสนากรรมฐานทางภาคเหนือ อบรมพระกรรมฐานในแนวสติปัฎฐาน ๔ ปัจจุบันมีชาวไทยและชาวต่างประเทศ เข้ารับการอบรมปฏิบัติต่อเนื่องกันตลอดปีไม่ขาดสายเป็นวัดแห่งแรกที่มีพระไตรปิฏกฉบับล้านนา และได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีพระไตรปิฏกฉบับภาษาต่าง ๆ มากที่สุดในโลก ถึง 19 ภาษา และในปัจจุบันได้รับคัดเลือกให้เป็น

  • ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติฯ ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2542
  • อุทยานการศึกษาในวัด พ.ศ. 2544
  • สำนักปฏิบัติธรรม ประจำจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 2 ปี พ.ศ. 2547
  • สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดดีเด่นเฉลิมพระเกียรติ 83 พรรษา ปี พ.ศ.2553
  • วัดพัฒนาตัวอย่าง พ.ศ. 2553

นอกจากงานวิปัสสนากรรมฐานแล้ว วัดร่ำเปิง(ตโปทาราม) ยังเป็นสำนักพระอภิธรรมสาขาของอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย อภิธรรมมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย วัดระฆังโฆษิตาราม และยังเป็นวัดที่รวบรวมและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาล้านนา

บวชภาคฤดูร้อน ประจำปี 2568

คณะสงฆ์อำเภอเมืองเชียงใหม่ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เชิญร่วม

พิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณร และบวชศีลจาริณี

เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ภายใต้โครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม

ค่านิยมและความเป็นไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘

ระหว่างวันที่ ๒-๑๘ เมษายน ๒๕๖๘

ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

สนับสนุนงบประมาณโดย กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

ภาพบรรยากาศลงทะเบียนสมัครเข้าโครงการ บรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณร และบวชศีลจาริณี ณ ตึก 80 ปี วัดร่ำเปิง(ตโปทาราม)

ร่วมเป็นเจ้าภาพ บรรพชาอุปสมบท พระภิกษุสามเณร

บวชชีน้อยและศีลจาริณี ระหว่าง 2-18 เมษายน 2568

ทำบุญร่วมเป็นเจ้าภาพ:

อุปสมบทพระภิกษุ รูปละ 5,000 บาท

บรรพชาสามเณร รูปละ 3,000 บาท

บวชแม่ชีน้อย ท่านละ 1,500 บาท

เจ้าภาพภัตตาหาร วันละ 3,500 บาท

เจ้าภาพน้ำปานะ วันละ 500 บาท

หรือตามกำลังศรัทธา

สอบถามรายละเอียดและร่วมทำบุญได้ที่:

สำนักงานวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) โทร. 062-216-8339

สำนักสงฆ์ โทร. 062-263-3633

ร่วมทำบุญผ่านบัญชีธนาคาร:

ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนสุเทพ

เลขที่บัญชี: 504-0-57571-3

หรือเจ้าอาวาส พระภาวนาธรรมาภิรัช และพระวิปัสสนาจารย์

การร่วมทำบุญในครั้งนี้ นอกจากจะได้ร่วมสืบทอดพระพุทธศาสนาแล้ว ยังเป็นการร่วมถวายเป็นพระราชกุศลอันเป็นมงคลยิ่ง ขอเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป