พิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ-สามเณร แและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน ๒๕๖๘
ภายใต้โครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมค่านิยมและความเป็นไทย
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ระหว่าง ๒-๑๘ เมษายน ๒๕๖๘
โดยมี พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าคณะอําเภอเมืองเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ประธานฝ่ายสงฆ์
นางกรวรรณ สุ่มมาตย์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ประธานฝ่ายฆราวาส
ดำเนินงานโดย คณะสงฆ์อำเภอเมืองเชียงใหม่ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่
สนับสนุนงบประมาณโดย กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม คุณมาลิณี วราหกิจ,ครอบครัวแก้วกฤติยานุกูรและคณะศรัทธาสาธุชน ร่วมเป็นเจ้าภาพอุปถัมภ์

กิจกรรมบรรพชาอุปสมบทประจำปี ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) จังหวัดเชียงใหม่
“การบวชไม่เพียงเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา แต่ยังเป็นแหล่งบ่มเพาะคุณธรรมและจริยธรรมที่งดงามสู่สังคมไทย”
[ภาพ: พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง นำพิธีบรรพชาอุปสมบท พร้อมด้วยคณะสงฆ์และผู้มีเกียรติ]










๒-๑๘ เมษายน ๒๕๖๘
พิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ-สามเณร แและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน
พิธีซ้อมขานนาค: การเตรียมความพร้อมสำหรับกุลบุตรผู้จะบวช







[ภาพ: กุลบุตรที่จะบวชเป็นพระภิกษุและสามเณรกำลังฝึกซ้อมคำกล่าวและพิธีการกับพระอาจารย์]

ก่อนถึงวันอุปสมบทและบรรพชาจริง ผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุทั้ง 13 รูป และสามเณร 56 รูป ได้ผ่านพิธีซ้อมขานนาค ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมความพร้อม พิธีนี้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุได้ฝึกซ้อมการตอบคำถามอันตรายิกธรรม (ธรรมที่เป็นอันตรายต่อการบวช) รวมถึงการท่องคำขอบรรพชาอุปสมบท ส่วนผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรได้ฝึกซ้อมการกล่าวคำขอสรณะและศีล รวมถึงขั้นตอนต่างๆ ในพิธี
…………. หนึ่งในพระอาจารย์ผู้ฝึกซ้อมได้อธิบายว่า “การซ้อมขานนาคมีความสำคัญสำหรับทั้งผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุและสามเณร เพราะแม้ว่าพิธีการจะแตกต่างกัน แต่ทั้งสองกลุ่มต้องเรียนรู้และเข้าใจพิธีกรรมอย่างถูกต้อง เพื่อให้การบวชเป็นไปอย่างสมบูรณ์และมีความศักดิ์สิทธิ์”
[ภาพ: เด็กและเยาวชนที่จะบวชเป็นสามเณรฝึกท่องคำขอศีลและการกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์]

ในการซ้อมสำหรับผู้ที่จะบวชเป็นสามเณร มีการสอนการท่องคำขอบรรพชาเป็นสามเณร การขอสรณคมน์ คือการถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และการรับศีล 10 ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติของสามเณร รวมถึงวิธีการห่มผ้าและการปฏิบัติตนเมื่อได้บวชแล้ว
“ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้บวชเป็นสามเณร ตอนแรกคิดว่าการท่องคำบาลีจะยากมาก แต่พระอาจารย์ใจดีมาก สอนให้ท่องทีละวรรคจนผมจำได้” สามเณรไพศาล ณ เชียงใหม่ ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรกล่าว
สำหรับผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุ การซ้อมมีความละเอียดมากกว่า เพราะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้บวช เช่น โรคต้องห้าม 5 ประการ การเป็นมนุษย์เพศชาย การไม่เป็นหนี้ การได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง และการมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ รวมถึงการฝึกท่องคำขอบรรพชาอุปสมบทในภาษาบาลี
[ภาพ: กุลบุตรที่จะบวชพนมมือฟังคำอธิบายจากพระอาจารย์เกี่ยวกับความหมายของคำบาลีที่ใช้ในพิธี]

“การซ้อมขานนาคไม่เพียงเป็นการเตรียมความพร้อมทางพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนสถานะจากฆราวาสเป็นบรรพชิต ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตที่ทุกคนควรทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้” โอวาทธรรม พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ.
พิธีปลงผม: จุดเริ่มต้นแห่งการละทิ้งความเป็นฆราวาส
[ภาพ: พิธีปลงผมกุลบุตรที่จะบวช โดยมีญาติผู้ใหญ่ร่วมปลงผมคนแรก]





















พิธีปลงผมเป็นพิธีสำคัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการบวช โดยในปีนี้ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ได้จัดพิธีปลงผมอย่างเป็นทางการให้แก่กุลบุตรทั้ง 69 รูปที่จะบวชเป็นพระภิกษุและสามเณร โดยมีพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เป็นประธานในพิธี
พิธีปลงผมเริ่มต้นด้วยการที่ผู้บวชนั่งบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ โดยมีญาติผู้ใหญ่และผู้มีเกียรติร่วมกันปลงผมให้คนละเล็กละน้อย จากนั้นพระสงฆ์จะทำการโกนผมให้เกลี้ยงเกลา ซึ่งมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ถึงการตัดขาดจากความเป็นฆราวาส และการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่มกาสาวพัสตร์
[ภาพ: กุลบุตรที่จะบวชกำลังได้รับการโกนผมจากพระสงฆ์ในบรรยากาศที่สงบและศักดิ์สิทธิ์]

“พิธีปลงผมเป็นพิธีที่มีความหมายลึกซึ้ง เป็นการสละความเป็นปุถุชนเพื่อก้าวเข้าสู่เพศบรรพชิต การที่ครอบครัวร่วมปลงผมให้กันยังแสดงถึงการอนุญาตและการส่งเสริมให้ลูกหลานได้บวชเรียน”
[ภาพ: ครอบครัวและญาติของผู้บวชร่วมแสดงความยินดีหลังพิธีปลงผม]

“วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกภูมิใจที่สุด การได้เห็นลูกชายตัดผมเพื่อเตรียมตัวบวช แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเขาที่จะทำความดีและตอบแทนบุญคุณพ่อแม่” ผู้เป็นบิดาของเด็กชายที่จะบวชเป็นสามเณรกล่าวด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ
สำหรับผู้ที่จะบวชเป็นศีลจาริณี 9 คน มีการเปลี่ยนชุดเป็นชุดขาวเพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์และความตั้งใจในการรักษาศีล
เตรียมแห่นาคเข้าพิธี ณ อุโบสถ์ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)

[ภาพ: กุลบุตรผู้เข้าร่วมพิธีบรรพชาอุปสมบทในชุดขาว เตรียมตัวก่อนพิธี]
ในปีนี้ มีกุลบุตรให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก ประกอบด้วยผู้บวชเป็นพระภิกษุ 13 รูป สามเณร 56 รูป และศีลจาริณี 9 คน ซึ่งทุกรูปและทุกคนล้วนมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้ศึกษาและปฏิบัติธรรม
พิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ-สามเณร แและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน 2568
คณะสงฆ์อำเภอเมืองเชียงใหม่ นำโดยพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) และเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ-สามเณร และบวชศีลจาริณีประจำปี ภายใต้โครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมความเป็นไทย โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม และคุณมาลินี วรหกิจ ครอบครัวแก้วกฤติยานุกูรและคณะศรัทธาสาธุชน ร่วมเป็นเจ้าภาพอุปถัมภ์


[ภาพ: กุลบุตรผู้เข้าร่วมพิธีบรรพชาอุปสมบทในชุดขาว เตรียมตัวก่อนพิธี]

ในปีนี้ มีกุลบุตรให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก ประกอบด้วยผู้บวชเป็นพระภิกษุ 13 รูป สามเณร 56 รูป และศีลจาริณี 9 คน ซึ่งทุกรูปและทุกคนล้วนมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้ช่วงเวลาอันมีค่านี้ศึกษาและปฏิบัติธรรม










พิธีบรรพชาอุปสมบท: วันแห่งความปลื้มปีติ
ในวันพิธีบรรพชาอุปสมบท อุโบสถวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) โดยมีพระสงฆ์เถระผู้ใหญ่จำนวน 9 รูป นำโดยพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เป็นพระอุปัชฌาย์ประกอบพิธีอุปสมบท
[ภาพ: นาคที่จะบวชเป็นพระภิกษุในชุดขาว กำลังเดินเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ ก่อนเข้าสู่พิธีอุปสมบท]

พิธีเริ่มต้นด้วยการเวียนเทียนรอบพระอุโบสถของนาคที่จะบวช ก่อนจะเข้าสู่พิธีอุปสมบทอย่างเป็นทางการ โดยมีการสวดญัตติจตุตถกรรมวาจา ซึ่งเป็นการประกาศให้ที่ประชุมสงฆ์ทราบถึงการขออุปสมบทของนาค และการถามอันตรายิกธรรมต่างๆ
[ภาพ: นาคกำลังรับผ้าไตรจีวรจากญาติๆ ในบรรยากาศบริเวณศาลาบาตร]

“พิธีอุปสมบทในพระพุทธศาสนาเป็นพิธีที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง การที่กุลบุตรได้มีโอกาสบวชเรียนจึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. กล่าว
[ภาพ: เด็กและเยาวชนที่จะบวชเป็นสามเณรในชุดขาว กำลังรับศีลจากพระอาจารย์]

สำหรับพิธีบรรพชาสามเณร มีเด็กและเยาวชนจำนวน 56 รูป เข้ารับการบรรพชา โดยพิธีมีความเรียบง่ายกว่าการอุปสมบทพระภิกษุ แต่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์และสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เริ่มจากการขอบรรพชา การรับไตรสรณคมน์ และการรับศีล 10 ข้อ
[ภาพ: ศีลจาริณีในชุดขาวกำลังรับศีลจากพระอาจารย์ ในบรรยากาศที่สงบและสำรวม]

นอกจากนี้ ยังมีการบวชศีลจาริณีจำนวน 9 คน ซึ่งเป็นเด็กสตรีที่ต้องการปฏิบัติธรรมและรักษาศีล 8 โดยจะครองผ้าขาวตลอดระยะเวลาของการบวช พิธีการรับศีลของศีลจาริณีจัดขึ้นในพระอุโบสถ โดยมีพระอาจารย์ภาวนาธรรมาภิรัช วิิ. เป็นผู้ประกอบพิธี
“การได้มาบวชเป็นศีลจาริณีในครั้งนี้ ทำให้หนูรู้สึกปีติยินดีอย่างยิ่ง เพราะเป็นโอกาสที่จะได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน มาฝึกปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนา เพื่อพัฒนาจิตใจให้สงบและเข้มแข็ง” หนึ่งในศีลจาริณีกล่าว
[ภาพ: ผู้บวชใหม่ทั้งพระภิกษุ สามเณร และศีลจาริณี ถ่ายภาพร่วมกันหน้าพระอุโบสถ และคณะสงฆ์]

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีบรรพชาอุปสมบท ผู้บวชใหม่ทั้งหมดได้รับการอบรมเบื้องต้นเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในเพศบรรพชิต การเจริญสมาธิภาวนา และกิจวัตรประจำวันที่ต้องปฏิบัติตลอดระยะเวลาของการบวช
พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. ได้กล่าวให้โอวาทแก่ผู้บวชใหม่ว่า “การบวชถือเป็นการเริ่มต้นเส้นทางแห่งการพัฒนาตนเอง ขอให้ทุกท่านตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างเต็มกำลัง เพื่อนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต แม้จะลาสิกขาออกไปแล้วก็ตาม”

















































กิจกรรมระหว่างการบวช: เส้นทางแห่งการพัฒนาจิตใจ

[ภาพ: บรรยากาศการทำวัตรสวดมนต์ยามเช้าของพระภิกษุและสามเณรภายในพระอุโบสถ]
ตลอดระยะเวลาของการบวช ผู้บวชทุกรูปและทุกคนมีกิจวัตรที่เข้มงวดและเป็นระเบียบ เริ่มตั้งแต่การทำวัตรสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็น การฟังธรรม และการปฏิบัติธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมอย่างเป็นระบบ
“การมาบวชทำให้ผมมีระเบียบการดำเนินชีวิตด้วยสติเพิ่มขึ้น “ก่อนมาบวชผมใช้ชีวิตอย่างไม่มีสติ จะเดิน จะลงบันไดก็ยังไม่มีสติ ตอนนี้ก็พยายามเดินให้มีสติมากขึ้น พอเข้ามาบวชที่นี่ เข้าใจสติในการกระทำ การรู้ตัว หยิบ จับ หรือการเดินก้าวด้วยสติมากกว่าเดิม สิ่งนั้นทำให้ผมรู้ประโยชน์ การมาบวชและปฏิบัติธรรมครับ การตื่นแต่เช้าเพื่อทำวัตรสวดมนต์ทำให้จิตใจของผมสงบ มีสมาธิมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิตประจำวัน” สามเณรอภิวัฒน์ บุญจันทร์ อายุ 15 ปี หนึ่งในผู้บวชเล่าความรู้สึก”
คลิปการสัมภาษณ์ สามเณรอภิวัฒน์ บุญจันทร์ อายุ 15 ปี
[ภาพ: พระภิกษุและสามเณรกำลังนั่งปฏิบัติธรรม ภายใต้การดูแลของพระอาจารย์]








นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษคือการ “ส่ง-สอบอารมณ์กรรมฐาน” ในการปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นการให้ผู้บวชได้พูดคุยกับพระอาจารย์เกี่ยวกับประสบการณ์การปฏิบัติ ปัญหาและอุปสรรคที่พบ รวมถึงคำแนะนำในการพัฒนาการปฏิบัติให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
สัมภาษณ์สามเณร สามเณรณิพพิชญ์ เอี่ยมละออ ประสบการมาปฏิบัติิธรรมทำให้ชีวิตนั้นมีความชอบธรรม และการส่งสอบอารมณ์ช่วงปฏิบัติ กับศีลจาริิณี
“การได้ส่งอารมณ์กรรมฐานทำให้หนูเข้าใจวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องมากขึ้น จากเดิมที่คิดว่าการนั่งสมาธิคือการทำให้จิตว่างเปล่า แต่ความจริงคือการมีสติรู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตนเอง” ศีลจาริณี/เด็กหญิงพัชร์กาญจน์กุล ณ เชียงใหม่ (ปอขวัญ) อายุ 11 ปี กล่าว
กิจกรรมพิเศษ: ทำบุญตักบาตรเนื่องในวันสงกรานต์
























[ภาพ: ประชาชนใส่บาตรพระภิกษุและสามเณรที่บวชใหม่ในบรรยากาศวันสงกรานต์]
นอกจากการจัดพิธีบรรพชาอุปสมบทแล้ว วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีการทำบุญตักบาตรพระภิกษุและสามเณรที่บวชใหม่ เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันปีใหม่ไทย (ปี๋ใหม่เมือง ทางภาคเหนือ) โดยมีประชาชนในพื้นที่และญาติของผู้บวชมาร่วมทำบุญอย่างคับคั่ง
“การได้มาทำบุญตักบาตรในช่วงสงกรานต์ และได้เห็นลูกชายบวชเป็นสามเณร ทำให้ดิฉันรู้สึกอิ่มบุญและภูมิใจมาก” คุณแม่ของสามเณรรายหนึ่งกล่าวด้วยความปลื้มปีติ
กิจกรรมขนทรายเข้าวัดตามประเพณีไทย

[ภาพ: พระภิกษุ สามเณร ศีลจาริณี และโยคีผู้ปฏิบัติธรรม ร่วมกันขนทรายเข้าวัดในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสามัคคี]






หนึ่งในประเพณีสำคัญของเทศกาลสงกรานต์ที่จัดขึ้นในปีนี้คือ การขนทรายเข้าวัด ซึ่งเป็นประเพณีโบราณที่สืบทอดกันมายาวนาน โดยมีความเชื่อว่าการนำทรายเข้าวัดเพื่อก่อเจดีย์ทรายจะได้อานิสงส์มาก เป็นการชดเชยเม็ดทรายที่ติดเท้าออกไปจากวัด และเป็นการบูชาพระรัตนตรัย
พระภิกษุ สามเณร ศีลจาริณี และโยคีผู้ปฏิบัติธรรมที่เข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท ได้พร้อมใจกันจัดกิจกรรมขนทรายเข้าวัด โดยมีการนำทรายมาก่อเป็นเจดีย์ทรายบริเวณลานวัด และตกแต่งด้วยดอกไม้ ธง และพุทธลักษณะต่างๆ อย่างสวยงาม
“การขนทรายเข้าวัดเป็นประเพณีที่มีความหมายลึกซึ้ง นอกจากจะเป็นการทำบุญแล้ว ยังเป็นการฝึกความสามัคคีและความอดทน โดยเฉพาะสำหรับเด็กและเยาวชนที่บวชเป็นสามเณร ได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของประเพณีไทย”
พิธีสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวพระสงฆ์ และฟังธรรม
[ภาพ: พิธีสรงน้ำพระพุทธรูปด้วยน้ำอบน้ำหอม และพระสงฆ์ให้พรแก่ผู้มาร่วมพิธี]
























































































อีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ของงานคือ พิธีสรงน้ำพระพุทธรูปและรดน้ำดำหัวพระสงฆ์ โดยมีการจัดเตรียมน้ำอบน้ำหอมและน้ำสะอาดสำหรับสรงน้ำพระพุทธรูป และรดน้ำดำหัวพระเถระผู้ใหญ่เพื่อขอพรในโอกาสวันปีใหม่ไทย
พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. ได้นำพระสงฆ์ทั้งหมดประกอบพิธีและให้พรแก่ญาติโยมที่มาร่วมงาน โดยมีการกล่าวคำอวยพรในภาษาล้านนา และพรมน้ำมนต์ให้แก่ผู้มาร่วมพิธี
[ภาพ: ผู้บวชใหม่และประชาชนรดน้ำดำหัวขอพรจากพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ.]

“พิธีรดน้ำดำหัวเป็นประเพณีอันดีงามของชาวล้านนา ที่แสดงถึงความเคารพและกตัญญูต่อผู้อาวุโส ซึ่งในปีนี้เรามีพระภิกษุและสามเณรที่บวชใหม่ได้มีโอกาสร่วมพิธีนี้ด้วย นับเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของไทยอีกทางหนึ่ง”
หลังจากพิธีรดน้ำดำหัว ได้มีการจัดกิจกรรมฟังธรรมเทศนาพิเศษโดยพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เรื่อง “ความกตัญญูกตเวทีและการรักษาประเพณีที่ดีงาม” ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก
[ภาพ: บรรยากาศการฟังธรรมเทศนาในวันสงกรานต์ โดยมีพระภิกษุสามเณรที่บวชใหม่นั่งฟังอย่างตั้งใจ]

“การฟังธรรมในวันสงกรานต์เป็นกิจกรรมที่สร้างความสงบเย็นใจ โดย พระครูปลัดนพพันธ์ ฐิตธมฺโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาส องค์แสดงพระธรรมเทศนา
พิธีทอดผ้าป่าสามัคคี
[ภาพ: ทอดผ้าป่าสามัคคี นำโดยญาติของผู้บวชและประชาชนในพื้นที่]






ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ได้มีการจัดพิธีทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสมทบทุนบูรณะหอพระไตรปิฏก จัดเป็นพิธีเรียบ ๆ
พิธีทอดผ้าป่าได้รับความร่วมมือจากคณะศิษยานุศิษย์ และโยคีผู้ปฏิบัติ และประชาชนทั่วไป รวมถึงญาติของผู้บวชที่ร่วมกันบริจาคปัจจัยเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
[ภาพ: พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในการรับผ้าป่าสามัคคี]

เปิดใจผู้บวช: ก่อนบวช ระหว่างบวช และหลังลาสิกขา










[ภาพ: บรรยากาศการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมโครงการก่อนพิธีบรรพชาอุปสมบท]
ในช่วงก่อนการบวช ทางวัดได้จัดกิจกรรมสัมภาษณ์ผู้ที่จะบวชเพื่อรับทราบแรงบันดาลใจและความคาดหวังต่อการบวช
“ผมตัดสินใจบวชเพราะต้องการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ และอยากใช้เวลาช่วงปิดเทอมทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคม”
สำหรับระหว่างบวช ผู้บวชหลายรูปและหลายท่านต่างสะท้อนความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง
[ภาพ: สามเณรกำลังเรียนรู้วิธีการห่มจีวรจากพระอาจารย์]

“การใช้ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ ทำให้ผมได้เรียนรู้การอยู่อย่างเรียบง่าย รู้จักความพอเพียง และมีวินัยในตนเองมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันหลังจากลาสิกขาแล้ว”
บทส่งท้าย: การบวชเรียน สืบสานพระพุทธศาสนา พัฒนาตนสู่สังคม
กิจกรรมแสดงความกตัญญูก่อนลาสิกขาของคณะพระภิกษุ สามเณร
ในช่วงปิดท้ายโครงการก่อนลาสิกขา ทางวัดได้จัดกิจกรรมพาคณะพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ศีลจาริณี และโยคี เดินทางไปสักการะพระเถระผู้ใหญ่ตามวัดสำคัญต่างๆ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีและรับพรก่อนกลับสู่เพศฆราวาสของพระภิกษุสามเณรและศีลจาริณี
คณะได้มีโอกาสอันเป็นมงคลในการเข้านมัสการพระผู้ใหญ่และสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามวัดสำคัญทั้ง 10 แห่ง ได้แก่:
- วัดเชตุวัน – พุทธสถานอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมล้านนา
- วัดพระสิงห์ – ที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์อันเป็นที่เคารพสักการะ
- วัดสวนดอก – วัดโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ล้านนา
- วัดเจ็ดยอด – วัดที่มีสถาปัตยกรรมล้านนาอันทรงคุณค่า
- วัดศรีโสดา – สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาในเชียงใหม่
- วัดพระธาตุดอยสุเทพ – พุทธสถานศักดิ์สิทธิ์บนดอยสุเทพ
- วัดน้ำบ่อหลวง – แหล่งเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนา
- วัดพระธาตุศรีจอมทอง – ที่ประดิษฐานพระบรมธาตุอันศักดิ์สิทธิ์
- วัดพระพุทธบาทตากผ้า – สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
- วัดพระธาตุหริภุญชัย – พุทธสถานสำคัญแห่งเมืองลำพูน



























กิจกรรมครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับคณะพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ศีลจาริณี และโยคีทุกท่าน เป็นการได้แสดงความเคารพต่อพระพุทธศาสนา พระเถระผู้ใหญ่ และได้น้อมรับพรและคำสั่งสอนอันมีค่า เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตหลังจากลาสิกขากลับสู่เพศฆราวาส นับเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าและเป็นการปลูกฝังความกตัญญูกตเวทีซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา













๑๘ เมษายน ๒๕๖๘
พิธีลาสิกขา
[ภาพ: พิธีอำลาสิกขาและมอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านการบวชเรียน]
โครงการบรรพชาอุปสมบทประจำปีของวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ไม่เพียงเป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งบ่มเพาะคุณธรรมจริยธรรมให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ซึ่งเมื่อพวกเขาลาสิกขากลับไปใช้ชีวิตฆราวาส ก็จะนำหลักธรรมคำสอนและประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นการสร้างคนดีสู่สังคม
พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง กล่าวทิ้งท้ายว่า “การบวชเรียน ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือยาว ล้วนมีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะเป็นโอกาสให้ได้พัฒนาตนเองทั้งทางกาย วาจา และใจ เมื่อเรามีโอกาสได้ฝึกฝนตนเองแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะนำสิ่งดีๆ เหล่านี้ออกไปเผยแพร่และช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป”
[ภาพ: ผู้บวชทั้งหมดถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกในวันสุดท้ายของโครงการ]


ภาพพธีลาสกขา














โอวาท พระภาวนาธรรมาภรัช วิ.
วันปิดโครงการ 18 เมษายน
พิธีลาสิกขาในโครงการ “บรรพชาอุปสมบทและบวชศีลจาริณี”
เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม ปลูกฝังค่านิยมความเป็นไทย
เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
โดยคณะสงฆ์อำเภอเมืองเชียงใหม่ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ และวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
วันศุกร์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๘
ณ อุโบสถวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดเชียงใหม่
จุดประสงค์ของโครงการ“บรรพชาอุปสมบทและบวชศีลจาริณี”นี้เพื่อที่จะได้ให้เยาวชนชาย-หญิงได้มาฝึกฝนอบรมจิตใจ เพื่อให้เราได้ศึกษามรดกทางวัฒนธรรม อาศัยความเป็นไทย อาศัยหลักทางพระพุทธศาสนา อาศัยความดีงามทางด้านศีลธรรม จริยธรรม
ตามหลักของการปฏิบัติของการบรรพชาอุปสมบทและบวชศีลจาริณี ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) เราต้องมีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาตลอดโครงการ เราได้มาฝึกตนเองให้มีสติกับการกราบ การเดิน การนั่ง และทำกิจกรรมน้อยใหญ่ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อให้เกิดความงดงามทางด้านชีวิตของเราให้ดียิ่งขึ้น
เยาวชนที่เข้าโครงการนี้ ก็ถือว่าได้ว่าเป็นศิษย์วัดร่ำเปิงแล้ว ดังนั้นเราก็ต้องเป็นคนมีสติ เป็นคนดีของพ่อ-แม่ เป็นนักเรียนที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นประชาชน-เยาวชนที่ดีของประเทศชาติ เป็นพสกนิกรที่ดีของพระเจ้าอยู่หัว เราทั้งหลายได้ทำประโยชน์เกื้อกูลต่อสังคม และเป็นที่น่าชื่นชมยินดีกับพ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยาย ลุง-ป้า น้า-อา ครูบาอาจารย์ของเยาวชนชาย-หญิงที่ได้มาเข้าโครงการนี้
ยังมีพระภิกษุและสามเณร อีก ๕ รูปยังรักษาพรหมจรรย์อยู่
และหวังว่าถ้าเยาวชนชาย-หญิง ที่ได้ลาสิกขาตามโครงการนี้แล้ว จะได้มีโอกาสมาปฏิบัติเป็นโยคีโดยส่วนตัวในช่วงปิดเทอม หรือในช่วงเวลาที่ว่าง หรือเข้าร่วมโครงการอีกในปีหน้าและปีต่อ ๆ ไป
ขออนุโมทนากับวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าภาพหลัก และเจ้าภาพร่วมทุกรูปทุกคน ซึ่งได้ให้ความอุปถัมภ์อุดหนุนปัจจัยโครงการ และมีปัจจัยคงเหลือจากโครงการทางวัดก็จะได้นำไปสมทบเป็นทุนการศึกษาของพระเณรที่อาศัยอยู่ในวัดต่อไป
ขออนุโมทนากับทุกรูปทุกคนที่เกื้อกูลโครงการนี้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ, พระบรมราชินีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงโดยเฉพาะเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และได้ทำบุญถวายบุญกุศลให้แก่บิดา-มารดาของเราได้บุญกุศลด้วย และทำความดีนี้ในฐานะที่เราศาสนิกชน และเราก็ทำดีให้ตัวเราเพื่อให้เราได้มีสติ สมาธิ มีปัญญา มีความกตัญญูกเวทิตาต่อครอบครัว ต่อพ่อ-แม่ ต่อสังคม ต่อพระพุทธศาสนา
หลวงพ่อก็ขอให้ลูกมีโอกาสสร้างคุณงามความดี สร้างบารมีสำหรับตนให้ได้เป็นเยาวชนที่ดีของประเทศชาติ และเป็นลูกที่ดีของพ่อ-แม่ ให้ได้เป็นนักเรียนที่ดีของครูบาอาจารย์ ขอให้เรามีความสุขความเจริญในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติเป็นที่สุด จงบังเกิดผลแก่พวกเราทั้งหลายทุกทั่วหน้ากันด้วยเถอะ