กิจกรรมวันโกน

วันโกน คือ วันขึ้น ๗ ค่ำ กับ ๑๔ ค่ำ และแรม ๗ ค่ำ กับแรม ๑๔ ค่ำ ของทุก เดือน (หรือ แรม ๑๓ ค่ำ หากตรง กับเดือนขาด) ซึ่งเป็นวันก่อนวัน พระ ๑ วัน นั่นเอง

วันพระ หรือ วันธรรมสวนะ คือ วันขึ้น ๘ ค่ำ กับ ๑๕ ค่ำ และ แรม ๘ ค่ำ กับ แรม ๑๕ ค่ำ ของทุกเดือน (หากตรงกับเดือนขาด อาจเป็น แรม ๑๔ ค่ำ)

ประวัติความเป็นมา

ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสาร ได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลว่า นักบวชศาสนาอื่นมีวันประชุมสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรม คำสั่ง สอนในศาสนาของเขา แต่ว่าศาสนาพุทธยังไม่มีพระพุทธองค์จึงทรงอนุญาติให้ภิกษุสงฆ์ประชุมสนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวัน ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำพุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวัน ธรรมสาวนะ ( ในไทยมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย )

ททํ ปิโย โหติ ภชนฺติ นํ พหู

ททํ ปิโย โหติ ภชนฺติ นํ พหู (องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๔๓)
“ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก คนหมู่มากย่อมคบเขา”

15 พฤษภาคม 2565 พระภาวนาธรรมาภิรัช พระวิปัสสนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 2 รองเจ้าคณะอำเมือง เมืองเชียงใหม่ นำพาเยาวชน ชาย – หญิง อายุตั้งแต่ แรกเกิด – 10 ขวบ ไปร่วมกิจกรรมวันประสูติพระโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าน้อย)

กิจกรรมฟังธรรม วันวิสาขบูชา
ห้องรับพระกรรมฐานเจริญจิตภาวนาใต้หอไตร

มอบขวัญถุงจากพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ.

เยาวชน เด็กน้อย ทำบุญตักบาตร ในวัน วิสาขบูชา

ประชาชนทั่วไป ทำบุญตักบาตร ในวัน วิสาขบูชา

ร่วมทำบุญตักบาตร และสรงน้ำพระพุทธเจ้าน้อย ณ ฐานฐานพระธาตุเจดีย์ วัดร่ำเปิง (ตโปทารม) พร้อมรับขวัญถุง จากพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. ภาคเช้า 8.00-9.00 น. ภาคบ่าย 16.00 น.-17.00น.

กิจกรรมในวันสัปดาห์ส่งเสริมพุทธศาสนา วันวิสาขบูชา และสรงน้ำพระพุทธเจ้าน้อย ณ ฐานฐานพระธาตุเจดีย์ วัดร่ำเปิง (ตโปทารม) พร้อมรับขวัญถุง จากพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. ภาคเช้า 8.00-9.00 น. ภาคบ่าย 16.00 น.-17.00น.

กิจกรรม ในวันสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา วันวิสาขบูชา สรงน้ำพระพุทธเจ้าน้อย

สร้างคนดีเพื่อปลูกฝั่งความเป็นพุทธศาสนาที่ดีของประเทศชาตินำเด็กและเยาวชนรู้จักเข้าวัด ด้วยการให้แก่เขา

ผู้มีปกติให้ปันสิ่งของแก่ผู้อื่นด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จึงมักเป็นผู้ที่มีมิตรมาก ได้รับมิตรภาพที่ดีจากผู้อื่นอยู่เสมอ เมื่อถึงคราวจำเป็นที่ต้องได้รับความช่วยเหลือในเรื่องใด ๆ จากผู้อื่นบ้าง ย่อมจะได้รับความช่วยเหลือด้วยดี ด้วยความที่เขาเป็นที่รักของคนทั้งหลายนั่นเอง

ที่มา : https://www.facebook.com/watrampoeng.chiangmai

โครงการบรรพชาอุปสมบท 910 รูป

จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ ขอเชิญชวนเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา

ระยะเวลาโครงการฯ ระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม – วันที่ 13 สิงหาคม 2565

ดาวน์โหลดใบสมัครจากคิวอาร์โค้ดในรูป

ส่งใบสมัครได้ที่ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งบัดนี้จนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ในวันเวลาราชการ

ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติม โทรศัพท์ 053-112671, 084-505 6320

  • 21 – 23 กรกฎาคม 2565 ศึกษาอบรมก่อนบวช ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)
  • 24 กรกฏาคม 2565 เวลา 16.00 น. พิธีปลงผม ณ วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง
  • 25 กรกฎาคม 2565 เวลา 12.30 น. พิธีบรรพชาอุปสมบท ณ วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง
  • 26 กรกฎาคม – 13 สิงหาคม 2565 ศึกษา ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)
  • 13 สิงหาคม 2565 เวลา 09.00 น. พิธีลาสิกขา ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)

คุณสมบัติผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ

  1. เพศชาย โดยสมบูรณ์ไม่ลักเพศ สัญชาติไทย อายุ 20-65 ปี
  2. ร่างกายแข็งแรง ไม่ทุพพลภาพ ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง หรือโรคสังคมรังเกียจ ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่เป็นบุคคลต้องโทษ หรือหลบหนีคดีหรือหลบหนีทหาร ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามหลักพระวินัย ได้รับวัคซีนโควิด -19 ไม่น้อยกว่า 2 เข็ม

ติดต่อขอรับใบสมัครได้ที่

  • วัดเจ็ดยอดพระอารามหลวง
  • วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
  • วัดสวนดอก พระอารามหลวง
  • วัดร่ำเปิง (โปทาราม)
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานเจ้าคณะอำเภอ

ส่งใบสมัครได้ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ในวัน เวลา ราชการ โทร 053 112671, 084-505 6320

กฐินสามัคคี ที่พักสงฆ์หนองแท่นเจ้า ธรณีสงฆ์วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง

พักสงฆ์หนองแท่นเจ้าพิธีทอดกฐินสามัคคี วันที่ 30 ตุลาคม 2565ณ ที่พักสงฆ์หนองแท่นเจ้า ธรณีสงฆ์ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง

( วันที่ 30 ตุลาคม 2565 ) พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ประธานสงฆ์ และพระปลัดพิเชษฐ์ ญาณวโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)

ร่วมพิธีทอดกฐินสามัคคีและมอบกุฏิสงฆ์ทอดถวาย ณ ที่พักสงฆ์หนองแท่นเจ้า ธรณีสงฆ์วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง

กฐินบุญ ในบารมีธรรมของพระเดชพระคุณพระพรหมมงคล วิ. (พระอาจารย์ทอง สิริมงฺคโล) อัคคะมหากัมมัฏฐานาจริยะ

โดยมีคุณแม่ปราณี ประดิษฐ์สุวรรณ พร้อมลูกหลาน เจ้าภาพอุปถัมภ์ เป็นเจ้าภาพพิธีทอดถวายผ้ากฐินสามัคคี และ คณะศิษยานุศิษย์ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) พร้อมโยคีทั่;ไปและชาวต่างชาติทุกท่าน

พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ.พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ ประธานสงฆ์

(พระปลัดพิเชษฐ์ ญาณวโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)

ภาพรวมบรรยากาศงานกฐิน และพิธีถวายมอบกุฏิหลังใหม่

โดยมีคุณแม่ปราณี ประดิษฐ์สุวรรณ พร้อมลูกหลาน เจ้าภาพอุปถัมภ์ เป็นเจ้าภาพพิธีทอดถวายผ้ากฐินสามัคคี พร้อมถวายกุฏิหลังใหม่ และ คณะศิษยานุศิษย์ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) พร้อมโยคีทั่วไปและชาวต่างชาติทุกท่าน

“เทศมหาชาติ เวสสันดรชาดก”

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพ
“เทศมหาชาติ เวสสันดรชาดก “
ประเพณียี่เป็ง 2565 วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม)
17 กัณฑ์ ๆ ละ 1,000 บาท

ร่วมเป็นเจ้าภาพ ติดต่อสอบถาม 087 787 5904 หรือโอนเข้าร่วมเป็นเจ้าภาพ บัญชีวัดร่ำเปิง ธนาคารกรุงเทพ บัญชีเลขที่ 504 0 57571 3 ลำดับกัณฑ์เทศน์

กัณฑ์ ที่ 1 ปฐมมาลัย (มาลัยต้น) ปฐมมาลัย (มาลัยต้น) คัมภีร์มาลัยต้น กล่าวถึงพระมาลัยเถระ พระสงฆ์ ชาวลังกาซึ่งเป็นพระอรหันต์ เดินทางไปเยี่ยมนรก ได้พบพญายมราช และเห็นสัตว์นรกจำนวนมาก พญายมราชบอกกับพระมาลัยว่า การ ทำบุญทำทาน การฟังเทศน์ และอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับผู้ตายนั้น อาจทำให้ผู้ที่อยู่ในนรกพ้นจากความทุกข์ได้ ดังนั้น การแสดงพระธรรมเทศนาที่เป็นทางการและจัดอย่างยิ่งใหญ่ จึงนิยมนำเอาคัมภีร์ปฐมมาลัย (มาลัยต้น) มาเป็นคัมภีร์นำในการเทศนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทศมหาชาติเวสสันดรชาดก พระธรรมเทศนากัณฑ์นี้ จึงเหมาะสำหรับทำบุญอุทิศให้ ญาติผู้ล่วงลับ บุพการีชน เปตพลี

กัณฑ์ ที่ 2 ทุติยะมาลัย (มาลัยปลาย) ทุติยะมาลัย (มาลัยปลาย) “เมื่อครั้งมหาเถรขึ้นไปนมัสการพระเกศแก้วจุฬา มณีใน สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์นั้น ได้พบพระอริย เมตไตรยเทพบุตรได้ถาม ทำอย่างไรจะได้ร่วมศาสนา กับพระอริยเมตไตร ท่านก็ได้บอกมหาเถรเจ้ามาว่า “ให้คนทั้งหลายฟังธรรมมหาชาติให้จบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ในวันเดียวคนเดียว แล้วจะได้ร่วมกับศาสนาของเราพระธรรมเทศนากัณฑ์ จึงเหมาะสำหรับศรัทธาเจ้าภาพ ผู้ปรารถนาจะได้เกิดในพระศาสนายุคพระศรีอริยะเมตตรัย (ยุคพระศรีอารย์)

กัณฑ์ ที่ 3 ทศพร พรรณนา ถึงตอนที่พระนางผุสดีขอพรจากพระอินทร์ ๑๐ ประการ ก่อนที่จะจุติในโลกมนุษย์เป็นมารดาของพระเวสสันดร พระธรรมเทศนาประจำ คนเกิดปีชวด (หนู) ได้ล้านนา)ผู้ใดบูชากัณฑ์ทศพร ผู้นั้นจะได้รับทรัพย์สมปรารถนา ถ้าเป็นสตรีจะได้ สามีเป็นที่ชอบเนื้อเจริญใจ ถ้าเป็นชายจะได้ภรรยาตามที่ประสงค์ของการ ถ้ามีบุตรหญิง หรือชาย ก็จะเป็นคนว่านอนสอนง่าย มีรูปกายงดงาม

กัณฑ์ ที่ 4 หิมพานต์ พรรณนา ถึงจุติปฏิสนธิของพระเวสสันดร จนถึงทรงได้อภิเษก สมรสกับพระนางมัทรี พระธิดาแห่งกษัตริย์แคว้นมัทราชจนกระทั่งถูกเนรเทศออกจากเมืองเข้าสู่ป่าพรรณนาถึงป่าหิมพานต์ พระธรรมเทศนาประจําคนเกิดปิด (วัว) ปีเป้า (ล้านนา) ผู้ใดบูชากัณฑ์หิมพานต์ ย่อมจะได้สิ่งปรารถนาทุกประการ ครั้นตายไป จะไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ แล้วเมื่อครั้งลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ จะเกิดในขัตติยะ หรือพราหมณ์ บริบูรณ์ด้วยทรัพย์ และบริงานมากมาย จะอยู่อิริยาบทใดก็จะมีแต่ความสุขกายสบายใจ

กัณฑ์ ที่ 5 ทานกัณฑ์ พรรณนา ถึงสัตตสดกมหาทาน พระเวสสันดรสั่งเมืองและให้ทานรถเทียมด้วยม้าแก่ ผู้ที่มาทูลขอ พระธรรมเทศนาประจำ คนเกิดปีขาล (เสือ) ปียีบ้านนา ผู้ใดบูชากัณฑ์ทานภัณฑ์จะบริบูรณ์ด้วยแก้วแหวนเงินทอง ทาสี และ สัตว์สองเท้าสี่เท้าครั้งตายแล้วจะได้ไปเกิดในฉกสมมาพจรสวรรค์ มีนางเทพ อัปสรแวดล้อมมากมาย เสวยสุขอยู่ในปราสาทสร้างด้วยแก้ว ๗ ประการ

กัณฑ์ ที่ 6 วันประเวศน์ พรรณนา ถึงสี่กษัตริย์เสด็จถึงนครมาตุลราช พระยาเขตราฐ เจ้าเมืองทูลขอให้ครองสมบัติ พระเวสสันดรไม่ทรงรับพระธรรมเทศนาประจำ คนเกิดปีเถาะ (กระต่าย) ปีม้า ล้านนา) ผู้ใดบูชากัณฑ์เทศน์วนประเวศน์จะได้รับความสุขทั้ง โลกนี้และโลกหน้า จะเฉลียวฉลาด สามารถปราบศิริราชศัตรูรูให้ย่อยยับไป

กัณฑ์ ที่ 7 ชูชก พรรณนา ถึงพราหมณ์ชูชกขอทานจนได้นางอมิตตตาลูกสาวเพื่อนเป็นเมีย เมียต้องการคนรับใช้ให้พราหมณ์ชกไปขอกัณหาและชาลีมาเป็นคนใช้พราหมณ์จึงออกเดินทางไปเขาวงกต ไปเจอพรานเจตบุตรผู้รักษาทางเข้าป่าหิมพาน พระธรรมเทศนาประจำ คนเกิดปีมะโรง (งูใหญ่) ปีสี(บ้านนา ) ผู้ใดบูชากัณฑ์ชูชก จะได้บังเกิดในตระกูลที่ดี ประกอบด้วย สมบัติ อันงดงาม กว่าผู้อื่น เจรจากับผู้ใดก็มีเสียงไพเราะ ครั้งจะได้สามีหรือภรรยา รวมทั้งมีบุตร จะ มีรูปร่างทรงงดงาม สอนง่าย

กัณฑ์ ที่ 8 จุลพล พรรณนา ถึงพรานเจตบุตรถูกชูชกหลอกจึงบอกทางไปสู่เขาวงกุฎ พระธรรมเทศ ประจพ คนเกิดปีมะเส็ง(งูเล็ก) ปีใส่ (ล้านนา) ผู้ใดบูชากัณฑ์จุลพน แม้จะบังเกิดในปรภพใดๆ จะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วย สมบัติบริการ จะมีอุทยานอันดารดาษด้วยดอกไม้หอมตลบไป แล้วจะมีระ โบกขรณีอันเต็มไปด้วยปทุมชาติ ครั้นตายไปแล้วก็ได้เสวยทิพยสมบัติในโลก หน้าสืบไป

กัณฑ์ ที่ 9 มหาพล พรรณนา ถึงพราหมณ์ชูชกพบอจุตฤาษี ก็ชีทางไปสู่เขาวงกฎ พรรณนาถึงป่าเขาลำเนาไพร พระธรรมเทศนาประจำ คนเกิดปีมะเมีย(ม้า) ปีสะหง้า( บ้านนา ) ผู้ใดบูชากัณฑ์มหาพน จะได้เสวยสมบัติในดาวดึงส์เทวโลกนั้น มี ทรัพย์ศฤงคารบริวารมาก มีอุทยานและสระโบกขรณีเป็นที่ประพาส เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยศักดานุภาพเฟื่องฟัง

กัณฑ์ ที่ 10 อานิสงส์ผางประทีป

ผางประทีป เป็นภาชนะดินที่มีการนำเอาขี้ผึ้งผสมน้ำมันหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเทลงในภาชนะดินขนาดเล็กที่มีรูปร่างต่าง ๆ มีด้ายอยู่ตรงกลางเพื่อเป็นฉนวนจุดไฟ พอจุดไฟ กลางคืนก็จะสว่างไสวเป็นสีต่าง ๆ อย่างสวยงาม มักจะพบทั่วไปในเทศกาลลอยกระทง คืนบูชาผางประทีป มีการแขวนไว้ตามหน้าบ้าน ประตูรั้ว ซุ้มประตูป่า หรือพบได้ตามงาน สมโภช เสนาสนะต่าง ๆ ของศาสนาสถาน มีการนำไปตกแต่งสถานที่ให้ได้วันของบริเวณงาน ในประเพณีวันลอยกระทงหรือประเพณีเดือนยี่เป็ง ซึ่งจะเริ่มมีขึ้นในวันที่ ๑๔ ค่ำ เดือนยี มีการแสดงถึงความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับผางประทีป โดยมีการเทศน์ธรรมของพระสงฆ์ใน กัณฑ์ “อานิสงส์ผางประทีป” ในช่วงพลบค่ำ ซึ่งเป็นการเทศน์ที่กล่าวถึงผลแห่งกุศล ที่ได้ จากการจุดประทีปบูชา หลังจากนั้นจะมีการจุดผางประทีปโคมไฟสว่างไสว โดยเฉพาะจุด หน้าพระประธานตามจำนวนคาถาของกัณฑ์เทศน์ เช่น ทานกัณฑ์ ต้องพูดถึง ๒๐๙ ดวง เพราะมี ๒๐๙ คาถา และในคืน ๑๕ ค่ำ ชาวบ้านจะมีกาบกล้วยตัดเป็นท่อนสำหรับวางผาง ประทีปแล้วจุดประทีปให้ลอยไปตามน้ำ โดยมีความเชื่อว่า การจุดผางประทับเดือนยี่เป็ง เป็นการบูชาพระรัตนตรัย ซึ่งก่อให้เกิดอานิสงส์และทำให้ผิวพรรณสวยสดงดงาม รวมทั้ง เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด นอกจากนั้นยังเชื่อว่าเป็นพุทธบูชา

กัณฑ์ที่ 11 กุมารบรรพ์ พรรณนา ถึงชูชกไปถึงเขาวงกุฎเพื่อขอกัณหาชาลี สอง กุมารลงไปหลบในสระน้ำ พระเวสสันดรเรียกขึ้นมามอบให้ พราหมณ์ชูชก ชูชกทุบตีกระชากลากลองกุมารไป พระธรรมเทศนาประจํา คนเกิดปีมะแม (แพะ) ปีเม็ด บ้านนา ผู้ใดบูชากัณฑ์กุมาร ย่อมประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา ครั้นตายไปได้เกิด ในฉกามาพจรสวรรค์ในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยมาอุบัติ ก็จะได้พบศาสนาของ พระองค์จะได้ถือปฏิสนธิในตระกูลกษัตริย์ ตลอดจนได้สดับฟังพระสัทธรรมเทศนา ของพระองค์ แล้วบรรลุพระอรหันตพล พร้อมปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ ด้วยบุญราศีที่ได้อบรม ไว้

กัณฑ์ ที่ 12 มัทรี พรรณนา จึงพระนางมัทรกลับจากหาผลไม้ในป่าพบสัตว์ สามตัวนอนขวางทางจึงไม่พบลูกทั้งสอง พอทราบความจริงก็ เป็นลมสลบไป พระธรรมเทศนาประจำ คนเกิดปีวอก(ลิง) ปีสันล้านนา ผู้ใดบูชากัณฑ์มัทรี เกิดในโลกหน้าจะเป็นผู้มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วย ทรัพย์สมบัติ เป็นผู้มีอายุยืนยาว ทั้งประกอบด้วยรูปโฉมงดงาม

กัณฑ์ ที่ 13 สักกบรรพ์ พรรณนา จึงพระอินทร์แปลงกายมาทูลขอพระนางมัทรี จากพระเวสสันดรแล้วคืนให้ พระเวสสันดรทูลขอพร 8 ประการจาก พระอินทร์ พระธรรมเทศนาประจํา คนเกิดปีระกา (ไก่) ปีเรา(ล้านนา) ผู้ใดบูชากัณฑ์ลักกบรรพ์ จะได้เป็นผู้เจริญด้วยลาภยศ ตลอดจนจตุรพิธพรทั้ง ๔ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดกาล

กัณฑ์ ที่ 14 มาหาราช พรรณนา จึงพราหมณ์รักษา ๒ กุมารหลงทางเข้าสู่เมืองสิพี พระเจ้าสัญชัยทรงไถ่กุมารคืนด้วยสิ่งของอย่างละ ๑๐๐ พราหมณ์ชูชก รับประทานอาหารคนตายพระเจ้าสัญชัยเตรียมไปรับพระเวสสันดร และพระนางมัทรี พระธรรมเทศนาประจำ คนเกิดปีจอ (สุนัก) ปีเสุด บ้านนา) ผู้ใดบูชากัณฑ์มหาราชจะได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ

กัณฑ์ ที่ 15 ฉกษัตริย์ พรรณนา จึงหกกษัตริย์พบกัน เกิดความยินดีจน เศร้าโศก สลบไป พระอินทร์บันดาลฝนโบกขรพรรณตก ลงมาประพรมจนฟื้นคืนสติทั้งหมด พระธรรมเทศนาประจำ คนเกิดปีกุญ(ช้าง,หมู) ปีใคะบ้านนา) ผู้ใดบูชากัณฑ์ฉกกษัตริย์ จะได้เป็นผู้เจริญด้วยพร ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกๆ

กัณฑ์ ที่ 16 นครกัณฑ์ กัณฑ์สุดท้าย ถือเป็นกัณฑ์ชัยมงคลพรรณนาถึง พระ เวสสันดร พระนางมัทรี ลาจากเพศพระฤาษีนวัติคืนสู่ พระนคร ครองเมืองสิพี พระอินทร์บันดาลห่าฝนสัตตรตนะธาราตกทั้งภูมิมณฑลโปรดให้ประชาชทำบุญทำทาน ตลอดพระชนมชีพ พระธรรมเทศนาประจำทุกปีเกิด ผู้ใดบูชากัณฑ์นครกัณฑ์ จะได้เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยวงศาคณา ญาติ ข้าทาสชายหญิง ธิดาสามี หรือบิดามารดาเป็นต้น อยู่พร้อม หน้ากันโดยความผาสุก ปราศจากโรคาพาธทั้งปวง

กัณฑ์ที่ 17 อานิสงส์เวสสันดร ธัมม์อานิสงส์เวสสันดร สันตระ กล่าวถึง อานิสงส์ต่างๆ ของการฟังเทศน์มหาชาติรวม การได้อยู่ร่วมพระศาสนาของพระศรีอริยะเมตไตร และชาติ ต่างๆ ของพระเวสสันดร นางมัทรี กัณหา ชาลี ชูชก จึงทำ ให้เกิดเป็นเรื่องราง พระเวสสันดรชาดกชาติสุดท้ายก่อนที่ จะเกิด เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคปัจจุบัน

พิธีมอบฉัตรและรัตนชาติประดับยอดฉัตรองค์พระมหาเจดีย์แก่ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง เป็นประธานสงฆ์ในการทำพิธีมอบฉัตรและรัตนชาติประดับยอดฉัตรองค์พระมหาเจดีย์แก่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

โดยมี รศ.ดร.ชาตรี มณีโกศล อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เป็นประธานจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการและกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย ในโอกาสเข้ารับมอบแก้วยอดฉัตรและรัตนชาติประดับยอดฉัตรองค์พระมหาเจดีย์ จากประธานสงฆ์ พระเดชพระคุณพระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง โดยมีคณะบริหารและบุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่เข้าร่วมพิธี ณ วัดร่ำเปิง(ตโปทาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2565

ทางสู่อริยะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ

กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง

เราเป็นนักบวช เป็นภิกษุ ภิกษุณี สามเณร แม่ชี โยคีนั้น เราอยู่ในภาวะที่ถือพรหมจรรย์คือการออกจากกาม อย่างน้อยที่สุด ก็ออกจากกามด้วยกาย แม้ว่าจิตยังมีกระแสกามอยู่ แต่จิตก็น้อมออกจากกาม เห็นโทษของตัณหาราคะ”

ธรรมกถา ในโอกาสบัดนี้ จะได้แสดงพระธรรมเทศนา

ปรารภถึงวันนี้ เป็นวันธรรมสวนะ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 1 เป็นโอกาสที่เราจะได้มาทำกิจ เช่น เวียนเทียน ฟังธรรม และฟังบรรยายธรรม คืนนี้จะได้แสดงพระธรรมเทศนา ปรารภถึงข้อปฏิบัติที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงไว้ใน มัชฌิมนิกาย

ว่าด้วยเรื่องอปัณณะกะปฏิปทา ซึ่งเป็นธรรมที่องค์พระศาสดา ได้ตรัสไว้ว่า ใครได้ประพฤติปฏิบัติแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ เป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด เป็นทางที่ถูกต้องโดยส่วนเดียว

ในสมัยหนึ่ง องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปยังหมู่บ้านหนึ่งของแคว้นโกศล ชื่อว่า บ้านศาลา พวกพราหมณ์และ คฤหบดีชาวบ้านศาลา ได้ข่าวว่า องค์พระศาสดาได้เสด็จมาและ พวกเขาได้ทราบว่า องค์พระศาสดา ได้เสด็จออกบวชจากศากยะราชตระกูล และ ได้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นพระอรหันต์ผู้พร้อมด้วยความรู้ เป็นผู้ประพฤติดี เป็นผู้รู้ ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความกรุณา จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ได้พวกเขาคิดว่า การจะได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้มีคุณถึงปานนี้เป็นการดี จึงได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า องค์พระศาสดาได้ตรัสถามว่า…

พวกเขามีศาสดาที่จะประพฤติปฏิบัติตามหรือยัง พราหมณ์ และคฤหบดีเหล่านั้นก็ทูลว่า ยังไม่มี พวกเขาจึงได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์จึงตรัสว่า เมื่อท่านทั้งหลายยังไม่มีศาสดาที่ท่านนับถือ เราจะให้ธรรมเป็นเครื่องดำเนินชีวิต ชีวิตของท่านทั้งหลายก็จะเป็นไปเพื่อความสุขและความเจริญ

องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถามพวกเขาต่อไปว่า…

เคยมีศาสดาองค์อื่นที่มาที่นี่แล้ว แสดงทิฐิความเห็นว่า การให้ทานไม่มีผล การปฏิสันถารต้อนรับไม่มีผล การบูชาสิ่งที่ควรบูชาไม่มีผล โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี คุณของบิดามารดาไม่มี สัตว์ที่เกิดแล้วโตทันที คือพวกเทพเทวา และสัตว์นรกไม่มี สมณะผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นวิญญูชน รู้แจ้งด้วยตนเอง และสามารถชี้แจงให้ผู้อื่นได้รู้แจ้งตามไม่มี อย่างนี้มีบ้างไหม ?
ชาวบ้านศาลาตอบไปว่า มี

พระองค์จึงตรัสถามต่อว่า แล้วเคยมีศาสดาบางองค์มาที่นี่ แล้วแสดงทิฐิความเห็นว่า การให้ทานมีผล การปฏิสันถารต้อนรับมีผล การบูชาสิ่งที่ควรบูชามีผล โลกนี้มี โลกหน้ามี คุณของบิดามารดามี สัตว์ที่เกิดแล้วโตทันที เช่น พวกเทพเทวา และสัตว์นรกทั้งหลายมี สมณะผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้แจ้งด้วยตนเอง และสามารถชี้แจงให้ผู้อื่นได้รู้แจ้งตามมี อย่างนี้มีบ้างไหม ?
ชาวบ้านศาลาตอบว่า มี

องค์พระศาสดาจึงตรัสต่อไปว่า ศาสดาทั้ง 2 กลุ่มนี้ จะทะเลาะกันขัดแย้งกัน เพราะคำสอนต่างกัน พระองค์ตรัสต่อไปว่าพวกที่สอนว่า การให้ทานไม่มีผล เป็นต้นนั้น เรียกว่าพวก นัตถิกะทิฐิ คือกลุ่มที่เห็นผิดว่า ไม่มีผล คนเหล่านี้จะไม่มีจิตน้อมไปในการทำกุศล มีกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต แต่เขาจะมีจิตน้อมไปในการทำอกุศลมีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องโลกนี้และโลกหน้าเป็นต้น

เมื่อคิดว่า ทานไม่มีผล จิตก็จะไม่น้อมไปในการทำความดีทั้งหลาย เขาจะดูหมิ่นเหยียดหยามคนทำดีคนทำบุญ ทำกุศล เขาจะเกิดมานะทิฐิ ยกตนข่มท่าน ตามอำนาจมิจฉาทิฐิของตนแต่ถ้าบุคคลใดเชื่อว่าการให้ทานมีผลเป็นต้น จิตเขาจะน้อมไปเพื่อทำกุศล คือประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เว้นจากความชั่วทางกาย วาจา ใจ เพราะเขามีทัศนะว่า ความดีมีจริงโลกนี้ โลกหน้ามีจริง จิตจะน้อมไปในการทำความดี เพื่อความหลุดพ้น เพื่อความเจริญ

องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า บุคคลใดเชื่อว่าโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี เป็นต้น เมื่อเขามีชีวิตอยู่ เขาจะทำชั่วทางกาย วาจา ใจ เขาจะถูกวิญญูชนคนมีปัญญาทั้งหลายตำหนิ และ เมื่อโลกหน้ามีจริง เขาจะตกไปสู่ทุคติอบายภูมิ ได้ชื่อว่าเป็นผู้แพ้ คือปัจจุบันก็ถูกตำหนิ และเมื่อโลกหน้ามีจริง เขาก็ไปสู่อบายภูมิ คือพวกสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เรียกว่าเสียทั้งสองคือปัจจุบันและอนาคตแต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเขาเชื่อว่าบุญบาปมีจริง นรกสวรรค์มีจริง

จิตเขาจะน้อมไปในทางดี ทำความดีทั้งกาย วาจาใจ บัณฑิตก็สรรเสริญในปัจจุบัน เมื่อตายไป โลกหน้ามีจริง เขาก็ได้สุคติโลกสวรรค์ในเบื้องหน้า เรียกว่าได้ประโยชน์ทั้งสอง คือประโยชน์ทั้งโลกปัจจุบันและอนาคตการที่เราเชื่อว่าบุญบาปมีจริง นรกสวรรค์มีจริง ก็ได้ชื่อว่า เราไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระอริยะ ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระอรหันต์ ที่มีอภิญญาจิตรู้โลกนี้โลกหน้า แต่ถ้าเรามีความคิดตรงกันข้าม เราก็ได้ชื่อว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อพระอริยะ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระอรหันต์ผู้รู้โลกนี้โลกหน้า

แม้แต่กลุ่มบุคคลที่เป็น อเหตุกทิฐิ คือมีความเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเอง ดีก็ดีเอง ชั่วก็ชั่วเอง ไม่มีสิ่งอื่นบันดาลและพวกที่มีความเห็นเป็นอกิริยทิฐิ คือเห็นว่าการทำผิดศีลทั้ง 5 ข้อนั้น ไม่ว่าจะทำผิดด้วยตนเองหรือใช้ให้ผู้อื่นทำ เช่นการฆ่าผู้อื่นด้วยตนเอง หรือจ้างวานให้ผู้อื่นฆ่า หรือลักทรัพย์ด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นลัก คนกลุ่มนี้ถือว่าไม่เป็นบาป เป็นสักแต่ว่ากิริยา เห็นผู้อื่นทำทานรักษาศีล ก็ไม่ถือว่าเป็นบุญ ถือว่าเป็นสักแต่ว่า กิริยาบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ควรถูกตำหนิ เพราะเขาจะมีจิตน้อมไปในการทำทุจริต ทั้งกาย วาจา ใจ สร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่น

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสให้พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านศาลาฟังต่อไปอีกว่า มนุษย์ในโลกนี้บางคนทำตัวเองให้เดือดร้อน และทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย แต่บุคคลบางคนก็ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มีความเป็นอยู่อย่างสันติสุข

พระองค์ทรงยกตัวอย่างบุคคลที่ทำตัวเองให้เดือดร้อนเปรียบกับผู้ประพฤติตนให้ลำบาก ทรมานตน ที่ภาษาพระเรียกว่า อัตตะกิละมะถานุโยค ดุจดั่งลัทธินิครนถ์ทั้งหลาย ส่วนบุคคลที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็คือ คนที่มีอาชีพในการฆ่าสัตว์ ฆ่าเป็ด ไก่ แพะ แกะ เป็นต้น หรืออาชีพทำประมงพวกนี้ ดำเนินชีวิตที่ทำให้สัตว์อื่นเดือดร้อน

บางคนไม่ทำให้ตนเดือดร้อนและไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ก็ได้แก่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลายที่ท่านได้ดับกิเลสอาสวะได้หมดสิ้นแล้ว

องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสอีกว่า บางคนเชื่อว่านิพพานมีจริง บางคนไม่เชื่อเรื่องนิพพาน ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราก็ไปบังคับเขาไม่ได้ ถ้าเราเชื่อว่านิพพานมีจริง แต่เรายังปฏิบัติไม่ถึง เราก็ยังไม่พบพระนิพพาน การจะเข้าถึงพระนิพพานต้องดับกิเลสให้หมด และต้องบำเพ็ญบุญกุศล เราก็ต้องบำเพ็ญบุญกุศลไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยที่สุดเราก็จะได้สุคติโลกสวรรค์เป็นเบื้องหน้า แต่ถ้าเราเชื่อเรื่องพระนิพพานและสามารถปฏิบัติให้ถึงเราก็จะพบพระนิพพานได้องค์พระศาสดาตรัสต่อว่า ผู้ที่มีจิตน้อมไปเพื่อความไม่มีภพ คือพระนิพพาน จิตของเขาจะน้อมไปสู่ความไม่มีราคะ ความสิ้นตัณหา ละความยึดถือด้วยมานะทิฐิ น้อมไปเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่น คือละอุปาทาน แต่ถ้าตรงกันข้ามเขาไม่เชื่อเรื่องนิพพาน จิตจะน้อมไปในความยึดติด ด้วยกกำลังของราคะ ตัณหา มานะ ทิฐิ มีความยึดมั่น ถือมั่นด้วยอุปาทาน จิตไม่น้อมไปเพื่อความสิ้นราคะ ผู้ที่มีจิตน้อมไปเพื่อความสิ้นราคะ เขาจะรู้สึกว่า สุขที่อยู่เหนือสุขด้วยราคะนั้นมีอยู่ ที่เราพูดว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง แปลว่า สุขอื่นเสมอด้วยนิพพานไม่มี คือความสุขที่ไม่มีตัวตัณหา จิตของบุคคลนั้นจะน้อมไปเพื่อความบากบั่นขวนขวาย เพื่อความสิ้นไปซึ่งตัณหาราคะ

ถ้าเรามีความเห็นว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มีเหตุให้เกิด เราก็จะมีจิตน้อมไปในการทำความดี เช่นถ้ามีความเห็นว่าโลกหน้ามี ก็จะทำดีเพื่อโลกหน้า เพื่อความเจริญแห่งชีวิตในภพหน้าชาตินี้เป็นผลของชาติที่แล้ว ชาติที่แล้วทำดีทำชั่วอย่างไรมันก็ให้ผลเป็นทุกข์เป็นสุข เป็นความเจริญ ความเสื่อมในชาตินี้ปัจจุบันผลที่เราได้เสวยอยู่นี้ เป็นผลมาจากอดีตเหตุ และปัจจุบัน เหตุที่เราทำในชาติปัจจุบันก็จะเป็นอนาคตผลในชาติหน้าเพราะฉะนั้น เราจะรู้ได้เลยว่า อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร ก็ดูที่ปัจจุบันเหตุ ดูว่าวันหนึ่ง อาทิตย์หนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง เราได้ทำดีมากน้อยอย่างไร ก็จะเป็นตัวกำหนดไปสู่อนาคตผลเราทำกรรมดีในปัจจุบัน ผลในอนาคตก็ดี ส่วนปัจจุบันผลที่เรารับอยู่ในชาตินี้ เป็นอดีตเหตุในชาติก่อนๆ เราไม่สามารถไปแก้ได้ แต่เราสามารถสร้างปัจจุบันเหตุในชาตินี้ให้สมบูรณ์ เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า

คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอปันนกะสูตร นี้พระองค์ไม่ได้สอนเฉพาะเรื่องความสิ้นกิเลสเท่านั้น แต่พระองค์ทรงสอนธรรมะขั้นศีลธรรม คือการดำเนินชีวิตชอบ ว่าเราเองต้องวางแผนชีวิตเพื่ออนาคตที่ดี หรือเพื่อโลกหน้าที่ดี โลกนี้เราได้อย่างนี้ เพราะว่าบุญที่เราทำมาให้ผลระดับนี้ แต่ถ้าเราอยากให้ชีวิตของเราดีกว่านี้ สมบูรณ์กว่านี้ เราก็ต้องทำในสิ่งที่เป็นคุณเป็นกุศลให้มาก ผลจึงจะเกิดตามอานิสงส์ตามปัจจัย

อานิสงส์สูงสุดที่เราจะพึงมีได้ ก็คือเราจะสร้างเหตุอย่างไรให้สิ้นอาสวะกิเลส การที่เราจะสิ้นอาสวะ เข้าถึงความสิ้นทุกข์คือพระนิพพาน ไม่ใช่ว่าเราจะเพียงแค่การอธิษฐาน ว่าขอให้เราถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะกิเลส แต่เราต้องลงมือปฏิบัติด้วย

องค์พระศาสดาทรงชี้ทางให้เราเดินเพื่อให้ถึงความพ้นทุกข์คือพระนิพพาน ทรงสอนให้เราเจริญวิปัสสนาหรือเจริญสติอยู่กับปัจจุบันขณะ อันเป็นความเพียรที่เราต้องทำในวันนี้ ใครเล่าจะรู้ความตายแม้ในวันพรุ่งนี้ ตามพระบาลีในภัทเทกรัตตคาถาว่า อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โกชัญญา มะระณัง สุเว และพระองค์ยังได้ตรัสอีกว่า

” ท่านทั้งหลาย พึงพยายามทำความเพียรเถิด เพราะว่าความเพียรนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ” ดังที่บาลีท่านแสดงไว้ว่า วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ แปลว่า คนจะล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียรความเพียรหรือตบะเผากิเลสเป็นสิ่งที่เราต้องทำเอง ความเพียรนี้เป็นสัมมาวายามะ คือเพียรชอบ เพียรเจริญสติอยู่กับปัจจุบันขณะ หรือเป็นไปในสติปัฏฐาน 4 ก็เป็นสัมมาสติ คือระลึกชอบจิตที่ตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันขณะ ของกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นสัมมาสมาธิ ความเห็นว่าทางนี้เท่านั้น เป็นทางที่จะออกจากทุกข์ได้เป็นสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ความคิดที่เป็นไปเพื่อการออกจากตัณหา เป็นสัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ การที่เราพูดว่า ทางนี้เท่านั้นเป็นทางแห่งความพ้นทุกข์ เป็นสัมมาวาจา การกล่าววาจาชอบ

ธรรมะที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้น เพื่อให้เราประพฤติปฏิบัติตาม แต่เราจะเข้าถึงความสิ้นทุกข์ได้ ก็อยู่ที่ความเพียรของเรา เราจะพ้นจากมารและบ่วงแห่งมารได้ ก็อยู่ที่ความเพียรในการเจริญสติสัมปชัญญะ

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า อารมณ์อันวิจิตร คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ต่างๆ ที่เป็นไปอย่างวิจิตร พิสดารนั้น ไม่ใช่มารแต่ตัณหาราคะ ที่เข้าไปยึดติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ นั้นต่างหาก เป็นมาร รูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่น่ารักน่าพอใจนั้นเป็นบ่วงมาร บาลีว่า มารพันธนา คือเป็นอารมณ์ที่ล่อให้เราเข้าไปยึดติดเหมือนกันกับดอกไม้ที่มีสีสวย กลิ่นหอม เป็นตัวล่อแมลงและผึ้งเช่นเดียวกับอารมณ์ที่ดีงามเหล่านั้น ก็เป็นเหยื่อล่อให้เกิดตัณหาราคะ ถ้าเราไม่ระวังให้เราเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสธรรมารมณ์ทั้งหลายที่วิจิตรพิสดารนั้นไม่ใช่มาร ไม่ใช่กิเลส ตัวกิเลสคือตัวตัณหาราคะที่เกิดขึ้นในใจเรา อารมณ์ดักจิตของมนุษย์ของสัตว์โลก ให้ผูกพันอยู่กับโลก ตัวมาร ตัวกิเลสจริงๆ เป็น ราคะ โทสะ โมหะ ที่เกิดในใจที่เป็นอกุศล อะปันนะกะ ปฏิปทา ซึ่งแปลว่า ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด เป็นไปเพื่อความเจริญนั้น

ในเบื้องต้นก็คือการที่เราน้อมจิตเชื่อว่า บุญบาปมีจริง นรกสวรรค์มีจริง คุณบิดามารดามีจริง เชื่อเรื่องความกตัญญูกตเวทีเชื่อเรื่องความประพฤติดี ปฏิบัติดี เชื่อเรื่องการประพฤติชอบประกอบด้วยคุณธรรมและเชื่อว่ามนุษย์นั้นสามารถประพฤติตนจนถึงความสิ้นอาสวะ ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้

“เราเป็นนักบวช เป็นภิกษุ ภิกษุณี สามเณร แม่ชี โยคีนั้น เราอยู่ในภาวะที่ถือพรหมจรรย์คือการออกจากกาม อย่างน้อยที่สุด ก็ออกจากกามด้วยกาย แม้ว่าจิตยังมีกระแสกามอยู่ แต่จิตก็น้อมออกจากกาม เห็นโทษของตัณหาราคะ”

เช่น การที่เราแยกกันอยู่คนละโซนระหว่าง ภิกษุ อุบาสก กับแม่ชี อุบาสิกาทั้งหลายเราพยายามเดินตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอานนท์ว่า ถ้าไม่เห็นได้เป็นการดี หญิงก็ไม่เห็นชาย ชายก็ไม่เห็นหญิง ถ้าจำเป็นต้องเห็นก็อย่าพูด ถ้าจำเป็นต้องพูด ก็ต้องพูดอย่างมีสติ หมายถึงว่า ถ้าเราอยู่ด้วยกันฉันพี่น้อง ฉันนักประพฤติปฏิบัติก็อยู่ด้วยกันได้ ไม่ต้องเอาเรื่องกิเลส เรื่องกามมาเกี่ยวข้อง อย่างนี้เป็นการดำเนินชีวิตให้เป็นไปเพื่อความไม่เสื่อม คือถือพรหมจรรย์ประพฤติเนกขัมมะเมื่อเราเห็นโทษของกามแล้ว ก็พยายามพัฒนาจิตตนให้เท่าทันอารมณ์จสามารถระงับดับตัณหาที่เกิดจากตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ได้ ถ้าเราสามารถประคองจิตได้ ก็สามารถดับความโลภโกรธ หลง ในใจได้ อารมณ์เหล่านั้นก็สักแต่ว่าเป็นอารมณ์ เหมือนกับพระอรหันต์เสพอารมณ์ที่สวยงามหรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ดี แต่ท่านก็ไม่มีกิเลสที่จะติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น แต่ถ้ารักษาจิตให้ดีก็สามารถระงับดับกิเลสได้ในช่วงเวลาที่มีสติสัมปชัญญะนั้น

ถ้าเราได้เจริญสติเจริญวิปัสสนาให้ต่อเนื่องแนบแน่นได้พัฒนาสัมมาทิฐิก็จะเกิดญาณรู้ว่า รูปนามขันธ์ 5 หรือกายใจนี้ เป็นทุกข์ บาลีว่า ทุกเข ญาณัง เห็นว่า รูปนามกายใจนี้มีความเสมอกัน ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่พระ ไม่ใช่โยม เป็นเพียงรูปนามที่กำลังเป็นไปอยู่ ต่อไปก็จะเกิดญาณรู้ว่า ตัวตัณหา คือเหตุแห่งทุกข์เหตุให้เกิดรูปนาม เมื่อจะดับทุกข์ ดับรูปนามกายใจนี้ ก็ต้องดับที่ตัณหา คือความอยากเกิด อยากเป็นนั่นเป็นนี่การดับทุกข์ดับรูปดับนามนี้ ไม่ใช่เราเป็นผู้ดับ

บางคนมาปฏิบัติธรรมอยากจะดับทุกข์ อยากดับความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่ถ้ายิ่งอยากดับก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น เพราะเอาตัวตนเข้าไปดับแต่ความจริงตัวที่จะดับทุกข์ได้ คือ ปัญญาที่รู้แจ้งตามความจริง จึงจะดับความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ เมื่อดับกิเลส 3 ตัวนี้ได้ ก็ดับทุกข์ได้ ปัญญาที่จะดับทุกข์ได้คือ ปัญญาที่ประกอบด้วยสติสัมปะปัญญะ มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ปัจจุบัน ทุกขณะแห่งการยืนเดิน นั่ง นอน ก้าวย่าง ถ้าโยคาวจรทั้งหลายได้ทำกิจอย่างนี้ก็เรียกว่า ได้ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่ง หรือได้ปฏิบัติในทางที่ถูก เป็นทางที่จะเป็นที่พึ่งแก่ตนได้

เมื่อองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์และคฤหบดี ชาวบ้านศาลา ในแคว้นโกศล จบลงแล้ว เขาเหล่านั้นก็ยอมรับคำสอนขององค์พระศาสดา ประกาศตนว่า ขอเป็นอุบาสก อุบาสิกา ผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่ง พวกเขากล่าวว่า คำสอนของพระองค์ช่างน่าอัศจรรย์ เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด หรือจุดประทีปในที่มืดเพื่อให้คนตาดีมองเห็น และทูลขอพระพุทธเจ้าให้ทรงจำพวกเขาว่า เป็นอุบาสก อุบาสิกา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงบังคับ ไม่ได้ทรงชักชวนว่าขอท่านจงมาเป็นสาวกของเรา แต่พระองค์ทรงบอกว่า ถ้าท่านไม่มีศาสดาที่ท่านเคารพนับถือ เราจะแนะนำท่านให้ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าท่านพอใจท่านก็จะได้อานิสงส์ คือ ความสุขความเจริญแก่ตัวเอง

ที่วัดเราก็เหมือนกัน เวลาที่อาตมาสอบอารมณ์โยคีชาวต่างชาติ อาตมาก็ไม่ได้ชวนเขาว่า คุณจงมาเป็นชาวพุทธเถิดหรือคุณจงมานับถือพระพุทธศาสนา เมื่อเขาเลื่อมใสศรัทธาเขาก็จะมาเป็นชาวพุทธเอง ถ้ายังไม่ถึงขั้นนั้น เขาก็ได้ประโยชน์ มีโยคีชาวต่างชาติหลายคนกลับมาปฏิบัติรอบสองรอบสาม เขาบอกว่า เขายังปฏิบัติธรรมอยู่ทุกวัน เพราะเขาได้ประโยชน์จาการเจริญสติ ภาวนาแล้วมีจิตสงบ สุขุม มีความอดทนอดกลั้น ทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยดี ตอนหลังก็เริ่มบูชาพระพุทธรูปไปกราบไหว้ที่บ้าน เพราะเห็นประโยชน์จากการปฏิบัติธรรม ก็ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า

นี่คือการที่เราเอาความจริงหรือสัจธรรม ให้เขาได้ศึกษาตัวเขาเอง เช่นสอนว่า ธรรมะก็คือรูปนามขันธ์ 5 ที่เราสมมุติว่าเป็น

กายใจของเรา เป็นตัวเรา การปฏิบัติธรรม ก็คือการปฏิบัติให้มีสติอยู่กับกายอยู่กับใจ การปฏิบัติธรรมก็คือ การเดินมรรค เดินมรรคได้สมบูรณ์ก็ดับกิเลสได้ เมื่อดับกิเลสได้ก็มีความสุขเป็นความสุขที่ได้จากการอยู่กับปัจจุบัน รู้ความจริงในปัจจุบัน ดับโลภ โกรธ หลงในปัจจุบันลงได้การรู้ธรรมอย่างนี้ เรียกว่าเป็นประจักษ์สิทธิ หรือ ปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน โดยไม่ต้องให้ใครบอก เหมือนเราจิบน้ำตาลหรือเกลือ เราก็จะรู้รสหวาน รสเค็มด้วยตนเอง เมื่อเราลงมือปฏิบัติธรรม เราก็จะรู้สุข รู้ทุกข์ด้วยตัวเองทันที นี่คือตัวสัจธรรม เป็นหลักธรรมที่เราสามารถเข้าถึงเองได้ และเมื่อปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดปัญญาที่จะพิจารณาว่า สิ่งนี้ควรเชื่อ สิ่งนี้ไม่ควรเชื่อ สิ่งนี้ควรนับถือ สิ่งนี้ไม่ควรนับถือสิ่งที่เราพึงประพฤติปฏิบัติที่ไม่ผิด ก็คือ ความเชื่อเรื่องบุญบาปว่ามีจริง เป็นพื้นฐาน ถ้าเรามีความเชื่ออย่างนี้ เรียกว่าเราอยู่ในฝ่ายของพระอริยะ เป็นทางที่จะไปถึงความสิ้นทุกข์เป็นที่สุด แต่ถ้าเราปฏิเสธ ก็เป็นฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระอริยะ ที่จะเป็นไปเพื่อมีทุกข์ สังสาระก็ยืนยาว

ธรรมะที่องค์พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้นั้น เป็นสิ่งที่จะต้องบำเพ็ญเอง ปฏิบัติเอง มีความเพียรบากบั่นเอง พระองค์และพระอริยะสงฆ์สาวก เป็นเพียงผู้ชี้บอกทาง การที่เราจะพ้นจากมารและบ่วงแห่งมารได้ ก็ต้องอาศัยความเพียรบากบั่นด้วยตนเอง เราต้องช่วยตัวเองจึงจะสามารถพ้นจากสังสาระเป็นที่สุดได้ และถึงแม้ว่าจะยังไม่พ้นจากสังสาระ เราก็มีสุคติภูมิ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติเป็นภพภายหน้า เราจึงต้องบากบั่นทำความดีด้วยตนเองตั้งแต่ระดับการให้ทาน รักษาศีล เจริญสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนาเป็นที่สุด

การแสดงธรรมะในค่ำคืนนี้ ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอสมมุติยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ ขออำนาจแห่งบุญอันเกิดจากการฟังธรรมด้วยความเคารพนี้ จงเป็นอานิสงส์ส่งผลให้พวกเราทั้งหลาย เจริญในคุณธรรมในระดับเบื้องต้น จนถึงความสิ้นอาสวะกิเลสเป็นที่สุด จงบังเกิดมีแก่เราท่านทั้งหลาย จงทุกทั่วหน้ากันด้วยเทอญ….

พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ.
หนังสือ สรรพธรรม 5 บทที่ 1

พิธีบำเพ็ญกุศลสวดมาติกา-บังสกุล

เมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 16.30 น. พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ เจ้าอาวาสวัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) และพระภิกษุสงฆ์-สามเณรแม่ชี อุบาสกอุบาสิกาผู้ปฏิบัติธรรทั่วไป ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลสวดมาติกา-บังสกุล เพื่ออุทิศถวาย สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสมมหาเถร) ป.ธ. ๙, ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม อดีตเจ้าคณะใหญ่หนกลาง อดีตรองอธิการบดี อดีตรองประธานกรรมการที่ปรึกษาและรองประธานกรรมการอุปถัมภ์โครงการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ อดีตเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม วรวิหาร ณ อุโบสถไม้สักทอง วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสมมหาเถร) ป.ธ. ๙, ได้เคยให้โอวาทแก่ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ในคราวที่ไปเยี่ยมเยียน วัดร่ำเปิง ว่า …พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้ประกอบด้วย การปฏิบัติเมื่อไรให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติเมื่อนั้น ผู้ไม่ปฏิบัติไม่มีทางได้รับผล แล้วจะผัดวันประกันพรุ่ง รอเอาไว้ เดือนหน้า ปีหน้า ก็ไม่ได้ รอไปชาติหน้าก็ไม่ได้ ต้องเอาชาตินี้…

โครงการอุปสมบทหมู่

เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพอุปถัมถ์ โครงการอุปสมบทหมู่ เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา 2565

ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) สนใจบวชพระ ติดต่อ
สำนักงานสงฆ์ 065-032 7592

กิจกรรมวันพระ

กิจกรรมทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรม
ณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ประจำวันที่ 8 พฤษภาคม 2565

พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ. เจ้าอาวาส นำพระภิกษุสงฆ์ สามเณร เดินรับบิณฑบาตร รอบวิหารลายคำ และศาลาบาตร มีแม่ชีและ ศรัทธาประชาชนทั่งไปและโยคี ชาย หญิงผู้มาปฏิบัติธรรม ร่วมทำบุญไส่บาตรเป็นแนวยาวรอบ ๆ พระธาตุเจดีย์ทั้ง 2 ด้าน หลังจากนั้น ร่วมรับศีล-ฟังธรรม วันนี้ 8 พฤษภาคม 2565 พระวัชรินทร์ ปิยธมฺโม, ดร. พระวิปัสสนาจารย์เป็นองค์บรรยายธรรม

ทุก ๆ วันพระ ตั้งแต่เวลา 8.00 เป็นต้นไป ทำบุญตักบาตร และช่วงเวลาค่ำ มีกิจกรรมเวียนเทียน สามารถรับชม การถ่ายทอดสด ทาง เพจวัดร่ำเปิงทุก ๆ วันโกน-พระ

คำว่า… “บวช” คือการเว้นไปทั่วเว้นอกุศลทุกชนิด เว้นบาปทุกชนิด เว้นกิจที่ไม่ควรทำทุกชนิด เว้นกิจของคฤหัสถ์ที่เราไม่ควรทำเว้นความคิดอย่างคฤหัสถ์ เว้นการนุ่งการห่มอย่างคฤหัสถ์ เว้นจากการกินการอยู่อย่างคฤหัสถ์ เป็นวิถีชีวิตที่เราจะต้องเว้นหลาย ๆ อย่าง

จากหนังสือ สรรพธรรม ๙ น.๙๑ โดย… พระภาวนาธรรมาภิรัช วิ